วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ใจเกินร้อย

หลังจากี่ได้พบหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟูก็เต็มเปี่ยมด้วยพลังใจที่จะฟื้นฟูร่างกายให้หายดีขึ้...เพียงคอมเมนท์ของคุณหมอว่า "นี่เพียงไม่กี่สัปดาห์จากที่ป่วยสามารถเดินได้แบบนี้ ถือว่าฟื้นได้เร็วมาก นี่อาจจะฟื้นฟูกลับมาได้ถึง100%เลยนะ" ทำให้พยายามทำการฟื้นฟูร่างกายตามคำแนะนำของคุณหมอเพิ่มเติม รวมถึงการทำตามแผนบำบัดร่างกายคู่กัการสวดมนต์นั่งสมาธิภาวนา
 
เช้วันศุกร์ที่ 22 ก.พ. หลังจากตื่นนอนตอนเช้าตรู่...ก็ได้เริ่มต้นตามรู้กายตามรู้ใจด้วยความเคยชิน...พร้อมับการขับแขนขยับขาไปมา...ก็รู้สึกถึงความผิดปกติบริเวณข้อนิ้ว...ก็เลยลองขยับดูอยู่หลายครั้งก็เลยร้องถามแม่นิดว่า...ไม่รู้ว่าจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย!!! 

ก็มือข้างขวาตรงบริเวณข้อนิ้วนางที่เคยเป็น "ข้อนิ้วล็อก" อยู่...ความรู้สึกนิ้วล็อกมันหายไปเพราะอาการชามาแทนที่...แต่ตอนนี้มันเริ่มรู้สึกนิดๆ ว่าอาการนิ้วล็อกมันยังคงอยู่นะ

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เมื่อภาวะซึมเศร้าพ่ายท่าให้กับสมาธิภาวนา

ผมมีภาวะซึมเศร้าติดตัวมาหลายปีแล้วโดยในปีที่มีอาการมากก็จะต้องพบแพทย์พร้อมกินยาทุกวัน...แต่ระยะหลังๆ ก็ดีขึ้นมากโดยเฉพาะได้มาอยู่ที่ไร่อิ่มสุข...จิตใจแจ่มใสทุกวันทีเดียว

แต่พอมาเกิดภาวะเส้นเือดในสมองแตกแล้วส่งผลให้ร่างกายซีกขวาชาและอ่อนแรงแล้ว...ไอ้เจ้าตัวร้าย "ภาวะซึมเศร้า" ก็ใช้จังหวะโอกาสเหมาะเข้าโจมตีทันที...แต่จิตใจที่ยังมีพลังสมาธิและพลังใจจากพ่อ, พี่ๆ, ภรรยาสุดที่รัก, ลู, ยายและน้องส้มที่มาดูแลในช่วงที่อยู่โรงพยาบาลก็สามารถเอาตัวรอดมาได้...แต่พอหลังจากสัปดาห์ที่สองก็เจอดี...โดนภาวะซึมเศร้าแทรกซึมเข้ามาได้บางแล้วแต่ก็ด้วยการนั่งสมาธิควบคู่กับการทำกายภาพบำบัดก็ช่วยเป็นเกราะป้องกันได้

วันสุดท้ายที่ภาวะซึมเศร้าพ่ายท่าให้กับสมาธิภาวนาอย่างราบคาบก็มาถึง...เมื่อภาวะซึมเศร้าเข้าครอบงำจิตใจได้ตั้งแต่ตอนเช้า...สภาวะจิตเศร้าหมอง...ใจก็ครุ่นคิดแต่เรื่องแย่ๆ ตลอดทั้งวัน...แต่ช่วงหัวค่ำต้องนั่งสมาธิพร้อมทำกายภาพมาช่วไว้ทัน...คราวนี้ในขณะที่ทำสมาธิ...จิตก็หยิบภาวะซึมเศร้ามาพิจารณา...เมื่อจิตรู้แจ้งแล้วก็ปรากฏว่า...ในสภาวะที่จิตเศร้าหมองอยู่นั้นก็คลายจางหายไป...
  
ทุกวันนี้ก็มีแต่จิตใจที่แจ่มใสเสมอ...มุ่งมั่นที่จะบำบัดร่างกายให้ฟื้นแข็งแรงขึ้นมา...แล้วก็ทำงานเท่าที่จะำได้ด้วยความสุข...เพราะงานหนักๆ ภรรยาสุดที่รักรับเหมาทำอยู่คนเดียว...อิอิ

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เริ่มฝึกเขียนเป็นครั้งแรก


ที่เห็นตัวเขียนข้างต้น...ไม่ใช่ฝีมือเด็กกะเหรี่ยงหลงดอยหรอกนะครับ...แต่เป็นเด็กชายติ๊ก...หนุ่มน้อยคนนี้นี่เอง...

กว่าจะตั้งมือได้...กว่าจะจับปากกาได้มั่น...กว่าจะเขียนได้สักตัวหนึ่ง...แต่ก็จะต้องพยายามฝึกให้การเรียนรู้การจำของสมองใช้งานได้ต่อไป

วันนี้เกิดไฟดับทั้งวันและช่วงบ่ายก็อากาศร้อนมาก...จึงชวนภรรยาสุดที่รักไปคลายร้อนที่น้ำตกป่าละอู...ฝึกเดินออกกำลังไปด้วย...ก็ผ่านมาได้ด้วยดี...มีฝรั่งใจดีคอยเฝ้าระวังในช่วงทางลงหินชันให้ด้วย...เดินจากลานจอดรถจนไปถึงน้ำตกชั้นที่สอง...นังชมสายน้ำตกเย็นชื่นใจ

สิ่งที่เรียนรู้ได้คือ...มีการก้าวเท้าได้มั่นคง...สามารถก้าวเท้าหลบหินหรือรากไม้ได้...มีพลังในการทรงตัวได้ดี...สามารถเดินขี้นเนินชันได้...ใช้มือขวาช่วยในการเดินได้เป็นอย่างดีครั

  

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เมื่อแม่นิดบังคับให้ใช้มือขวาทานข้าวจับแก้วน้ำเท่านั้น

หลังจากที่แม่นิดรับคำสั่งคุณหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟูถึงการให้ฝึกใช้มือขวาทำกิจวัตรทุกอย่างโดยทันที...และห้ามใช้มือซ้ายโดยเด็ดขาด...ไม่งั้นจะมีโอกาสที่จะสูญเสียมือขวามากขึ้น...

แมนิดไม่รีรอที่จะเตรียมจานข้าวและแก้วน้ำสแตนเลส...พร้อมทั้งให้ผมทดลองใช้ช้อนแก้วน้ำ...ดูว่าดัดแปลงให้เหมาะกับมือหรือไม่...ผมก็ได้บอกว่า...คงไม่ต้องดัดแปลงอุปกรณ์หรอก...ดัดแปลงที่มือผมดีกว่า...ให้ผมพยายามบังคับมือให้ใช้ช้อนจัแก้วก็แล้วกัน

ว่าจะพยายามบังคับช้อนให้กินข้าวจนเสร็จได้...ทำเอาเหนื่อยใจ...เพราะช้อนหลุดจากมือตลอดเวลา...พยายามใช้แรงที่มีอยู่...ใช้สมาธิในการวบคุมช้อน...คงเป็นเพราะกับข้าวอร่อย...ทำให้มีความสุขไปกับอาหารแต่ละมื้อ

จากการใช้มือซ้ายกินข้าวก็ยากในตอนแรกๆ แต่ไม่นานก็ชิน...แต่พอเปลียนมาใช้มือขวาก็ยิ่งยากกว่า ทั้งไม่มีแรง ทั้งควบคุมไม่ได้ แถมชาไม่รู้สึกอีกต่างหาก...ก็รู้สึกได้ว่า "ไม่ยากเกินความพยายาม" ขอเพียงจิตใจเราต้องเบิกบาน...มีความสุขอยู่กับปัจจุบัน...

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

นัดหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟู

หลงจากวัดความดันเลือดก่อนพบหมอ...พบว่าความดันเลือดสูงถึ 201...ุณพยาบาลก็ได้ซักถามหาที่มาที่ไป...ก็เจอว่าตั้งแต่เช้าที่่ออกเดินทางจากก็ยังไม่ได้กินข้าวกินยาควบคุมความดันเลย...แต่พอว้ดหลังจากทานยาแล้วก็ได้ค่าปกติ...แต่คุณพยาบาลใจดีได้ลองวัดความดันเลือดด้วยเครื่องแบบเก่ากับแขนทั้งสองข้างพบว่าค่าออกมาตรงกันคือ 150/70

ในระหว่างที่คุณหมอตรวจอาการแขนขาที่พบว่ามีอาการที่ดีขึ้นเร็วกว่าทั่วๆ ไป ก็ขอให้เดินให้ดูสองรอบก็พบว่าการตอบสนองส่วนต่างๆ ดีมากไม่พบข้อบกพร่องเลย...คุณหมอก็คาดว่าร่างกายน่าจะฟื้นฟูกลับคืนมาปกติได้ทั้งหมดและภายในระยะเวลาไม่นานด้วย

ส่วนเรื่องกังวลถึงข้อเท็จจริงในเรื่องเนื้อสมองบางส่วนถูกทำลายเสียหายไปแล้ว...คุณหมอก็บอกว่าใช่ที่เนื้อสมองถูกทำลายแต่ก็อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด...อีกทั้งยังมีเนื้อสมองที่มาช่วยทำงานได้อีกจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้

แล้วควรออกกำลังกายอะไรบ้างและควรออกกำลังกายมากแค่ไหน...คณหมอใช้พื้นฐานการใช้ชีวิตมาเป็นการออกกำลังกาย...ก่อนหน้านี้แขนขวาเท้าขวาทำหน้าที่อะไรบ้างก็ให้สิ่งต่างเหล่านั้นแหละ...เริ่มจากหน้าที่ประจำวัน จับช้อนกินข้าว,จับแก้วกินน้ำ,ติดกระดุม,เขียนหนังสือเป็นต้น ถ้าไม่ใช้เลยมือก็สูญเสียการทำงานไป จากนั้นก็ให้ดูจากการทำงานในแต่ละวัน...หากทำได้ก็ให้ทำเลย...ส่วนที่จะต้องฝึกให้มากก็คือการใช้มือ...เพราะนิ้วมือกว่าที่จะทำงานได้เกิดจากการสั่งการจากสมองหลายๆ ส่วนประกอบกัน...จึงเป็นเรื่องยากที่จะต้องใช้เวลาเรียนรู้ตรงนี้...แต่มื่อทำได้แล้วรี่ยวแรงพลังการหยิบจับก็จะกลับมาเอง

ส่วนความสมดุลของความมากน้อยในการออกกำลังกายในแต่วันก็ให้เริ่มฝึกเดินเป็นประจำทุกวันอย่างน้อยสองครั้งโดยเริ่มใช้เวลาไม่น้อยกว่าสิบห้านาทีจนถึงสามสิบนาที...จากนั้นก็ให้เพิ่มเร็วในการเดินจนกระทั่งวิ่งได้

จากนั้นคุณมอได้สั่งให้ผมได้พบกับฝ่ายกายภาพบำบัดเพื่อเรียนรู้การทำกายภาพเพิ่มเติม

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

พลังใจจากพ่อและพี่ๆ

เย็นวันแรกที่นอนอยู่โรงพยาบาล...ก็แปลกใจและดีใจสุดๆ ที่เห็นพ่อ, พี่ต้อย, ซ้อยวน และพี่ตุ๊กได้เดินมาหาถึงเตียง...ยังเป็นความรู้สึกที่ประทับใจมาก

...บ่ายวันที่สองก็ยังดีใจที่พ่อ, เป้, กอลฟ์ และเจแปนได้มาเยี่ยม...พ่อก็ได้มาลูบแขนลูบขาด้วยความเป็นห่วงพร้อมได้ถามว่า...แขนขารู้สึกมั๊ย...ผมรู้สึกได้ถึงความรักของพ่อ

...บ่ายวันที่สาม...ก็ยังได้เห็นหน้าพ่ออีกครั้งที่มาพร้อมกับพี่ติ่งและอานีก...นึกรู้สึกเป็นห่วงว่าพ่อจะเหนื่อยจากการเดินทาง...แต่พอเห็นแววตาพ่อที่ยังคงมาลูบแขนขาลูกด้วยความห่วงใย...ก็ยิ่งเป็นพลังให้ลูกคนนี้ต้องต่อสู้จากโรคร้ายคราวนี้ให้ได้