วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

2ปี กับร่างกายซีกขวาชาและอ่อนแรงจากเส้นเลือดในสมองแตก


...ลดโอกาสเสี่ยงเส้นเลือดในสมองแตกจากความดันเลือดสูง...
ถึงผมจะไม่ใช่หมอ...ไม่ได้มีความรู้ทางด้านนี้...
แต่จากที่ผมเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีกเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก
มีสาเหตุมาจากภาวะความดันเลือดสูงมาเป็นระยะเวลา 2ปีแล้ว
หลังจากฟื้นฟูร่างกายจนสามารถกลับมาเดินได้ทำงานได้แล้ว
แต่อาการชาตามผิวหนังของร่างกายซีกขวาก็ยังคงอยู่...
ความแข็งแรงแข็งแกร่งของแขนและขาก็ยังคงมีปัญหาอยู่...
ปัญหาทางด้านสมองเกี่ยวคิดได้ช้า...จำไม่ค่อยได้...ก็ยังคงอยู่...

ก็เลยอยากจะแนะนำเพื่อนๆ ว่า....
1. ผมอยู่ในภาวะความดันเลือดสูง...โดยภาวะร่างกายปกติก็จะวัดค่าความดันเลือด อยู่ที่ 160....และเมื่อใดที่เราอยู่ในภาวะความเคร่งเครียดแล้ว...ความดันเลือดอาจจะ สูงถึง 180 ได้...และเมื่อใดที่ความดันเลือดสูงเกิน 190 ขึ้นไปแล้วก็จะมีโอกาสที่จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ครับ...ดังเช่นที่ผม เจอมาครับ
2. อย่าเชื่อว่า...การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรือ การควบคุมอาหารจะสามารถรอดพ้นจากอาการความดันเลือดสูงได้...สิ่งเหล่านี้จะ ช่วยให้ความดันเลือดของเราอยู่ในภาวะปกติโดยไม่ต้องกินยาควบคุมความ ดัน...หากแต่เมื่อใดที่สภาวะร่างกายหรือจิตใจเราอยู่ในสภาวะที่ผิดปกติ... ธรรมชาติที่สงบหรืออาหารที่ดีก็ช่วยควบคุมความดันเลือดไม่ได้อย่างแน่นอน ครับ
3. เมื่อรู้ตัวแล้วว่าตนเองอยู่ในภาวะความดันเลือดสูง...ก็ควรจะกินยาควบคุม ความดันเลือดตามที่หมอสั่งและให้มียาควบคุมนี้ติดตัวไว้...เพราะหากเมื่อใด ที่ร่างกายและจิตใจเรามีอาการเคร่งเครียดผิดปกติก็สามารถใช้ยาควบคุมความดัน เลือดในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อลดความเสี่ยงที่ความดันเลือดจะสูงขึ้นจนทำให้ เส้นเลือดในสมองแตกได้
สุดท้ายหากเพื่อนๆ ท่านใดที่โชคร้ายที่เจอเหมือนผมแล้ว....ก็ขอแนะนำเพียงข้อเดียวและทำให้ได้คือ....มีสติ...
ไม่ต้องแตกตื่นตกใจ
ไม่ต้องกลัวไม่ต้องร้องไห้
ไม่ต้องพะวงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายเราในตอนนั้น
เช้าตรู่วันนั้นเมื่อผมรู้ตัวว่า...ร่างกายผิดปกติไปจากเดิมแล้ว
หลังจากนั่งพักอยู่ครู่ใหญ่แล้วลองขยับแขนขวาดู...แต่มันก็ไม่ขยับอย่างที่คิด
ลองขยับขาขวาดูก็เป็นเหมือนกัน...จะลองลุกขึ้นก็ลุกขึ้นไม่ได้แล้ว
แต่ร่างกายซีกซ้ายยังทำงานได้เป็นปกติ.....
จึงค่อยๆ กระดึ้บๆ ไปหาโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน
และโทรหาภรรยาสุดที่รักเพื่อบอกถึงสิ่งผิดปกติที่พบเท่านั้น
หลังจากนั้นก็ค่อยๆ คิดจัดการเตรียมความพร้อมของตนเองที่จะไปโรงพยาบาล
เตรียมกระเป๋าตังค์และมือถือให้พร้อม
เก็บหมาสองตัวที่อยู่นอกบ้านเข้ากรงให้เรียบร้อย
เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเองให้ดูเหมาะสมที่จะออกจากบ้าน
นั่งรอ...ดื่มน้ำ...เหมือนกำลังรอรถมารับไปเที่ยวเลยครับ
ทั้งหมดที่ทำมาข้างต้นนี้...ผมต้องกระดึับๆ ไปนะเพราะลุกเดินไม่ได้แล้ว
จากบ้าน...ไปอนามัยเพื่อให้หมอประจำอนามัยดูอาการเบื้องต้น...
จนกระทั่งไปนอนรอที่ห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลหัวหิน...
ผมก็ยังไม่รู้ว่า...เส้นเลือดในสมองผมแตกแล้วจึงทำให้เป็นแบบนี้
และแล้วภรรยาสุดที่รักก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาล
ในขณะที่ผมกำลังนอนรออยู่หน้าห้องX-ray เพื่อรอสแกนสมอง
และเป็นกำลังใจให้ผมแบบสุดๆ แล้วหลังจากผ่านเรื่องร้ายๆ มาเพียงลำพัง
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้อยากจะให้เห็นถึง "สติ" ที่ผมมีในการเผชิญหน้ากับมัน
ผมเชื่อว่า...สติช่วยทำให้ภาวะร่างกายไม่ผิดปกติเลวร้ายย่ำแย่ไปกว่านี้...


...สมดุลการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจทำให้หายป่วยเร็วขึ้น...
ช่วงเวลาที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก็จะเห็นคนป่วยจำนวนมากที่นอนรักษาตัว จากอาการหลอดเลือดในสมองแตก...มีทั้งที่อาการหนักร่างกายขยับไม่ได้เลย หรือแบบแค่ชาและอ่อนแรงเช่นผม...แต่ไม่ว่าอาการทางด้านร่างกายจะสาหัสแค่ไหน ก็ตาม ผมว่าอาการทางด้านจิตใจของผู้ป่วยโรคนี้จะย่ำแย่จิตตกอย่างถึงที่ สุด...เพราะคนที่เคยแข็งแรงเดินได้ทำงานได้เพียงชั่วข้ามคืนต้องกลายมาเป็น คนที่เดินไม่ได้...ใช้มือก็ไม่ได้...พูดจาก็ไม่ชัด....ถ้าขืนเป็นอยู่อย่าง นี้..."ตายเสียดีกว่าอยู่"...ใช่ครับเพราะส่วนใหญ่จะเกิดอาการโรคซึมเศร้า แทรกซ้อนเข้ามาจนถึงภาวะที่จะคิดฆ่าตัวตาย...
คุณหมอนัดมาติดตามผลการรักษาตัวอีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากได้กลับมาพักฟื้นที่ บ้านแล้ว...ด้วยคำอธิบายที่กระชับ..สั้น..ว่า "เนื้อสมองบริเวณส่วนที่หลอดเลือดแตกนั้นคงได้รับความเสียหายจนใช้การไม่ได้ แล้ว" แต่คำพูดนี้กระทบจิตใจผมอย่างรุนแรงเพราะผมคิดต่อได้เพียงว่า "จากนี้ผมจะต้องอยู่ในสภาพอย่างนี้ไปตลอดชีวิตหรือนี้" จิตใจผมเริ่มหดหู่คิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลจนกระทั่ง ถึงบ้าน...โรคซีมเศร้าเริ่มแทรกแซงแทรกซ้อนเข้ามาแล้ว
แต่โชคยังเข้าข้างผมอยู่เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นผมเจอในนัดพบแพทย์อีกใบหนึ่ง ที่ได้ระบุวันนัดไว้อีกสามสัปดาห์เป็นแพทย์แผนกเวชศาสตร์ฟิ้นฟู...จึงได้ขอ ให้ภรรยาสุดที่รักโทรไปเลื่อนนัดพบแพทย์ให้เร็วขึ้น และก็โชคดีที่เพียงสองวันก็ได้เข้าพบแพทย์แผนกนี้แล้ว ขอย้ำว่า..."เป็นความโชคดีของผมอย่างที่สุด" เพราะคุณหมอได้อธิบายเพิ่มเติมจากคำพูดของหมอที่รักษาทางด้านสมองว่า "แต่เราสามารถที่จะฟื้นฟูให้สมองส่วนอื่นสามารถมาสั่งการทำงานแทนเนื้อสมอง ส่วนที่ได้รับความเสียหาย โดยที่คนไข้จะต้องอดทนและพยายามถึงที่สุดที่จะฟื้นฟูร่างกายส่วนที่เสียหาย ให้กลับมาได้มากที่สุดโดยเร็ว เพราะเวลาที่เนินนานออกไปเท่าไรการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาก็โอกาสจะน้อยลงไป เช่นกัน
ว่าแล้วคุณหมอก็สั่งและย้ำให้เริ่มใช้มือขวาตั้งแต่วันนี้โดยให้ทำทุกอย่าง ที่เคยทำ...ถือช้อนกินข้าว...ยกแก้วกินน้ำ...ใส่เสื้อผ้าติดกระดุม...จับ ปากกาเขียนหนังสือ...เป็นต้น เพราะหากไม่เริ่มฝึกใช้งานร่างกายซีกขวาทั้งหมดสมองก็จะเข้าใจว่าร่างกาย ส่วนนี้ใช้งานไม่ได้แล้ว..คุณหมอยังแนะนำให้ทำการฝึกหยิบจับสิ่งของเล็กๆ เพื่อฝึกนิ้วให้ได้ครบทุกนิ้ว และก็ฝึกเดินเช้าเย็นเริ่มต้นอย่างน้อยสิบนาทีจนกระทั่งได้นานถึงครึ่ง ชั่วโมง...สุดท้ายก็ต้องออกกายบริหารตามที่ได้รับการฝึกมาแล้ว ว่าแล้วผมก็นำมาประยุกต์ก้บการฟื้นฟูจิตใจด้วยการปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป ด้วยตามตารางเวลาการฟื้นฟูร่างกายดังนี้
เช้ามืด...สวดมนต์ทำสมาธิภาวนา
ฟ้าเริ่มสว่าง...ออกฝึกเดิน ฝึกวิ่ง เสร็จแล้วก็ทำกิจวัตรประจำวัน
หลังอาหารเช้า...ทำกายภาพบำบัดหลังจากสวดมนต์ทำสมาธิภาวนา
ก่อนอาหารเที่ยง...ใช้เวลาที่ว่างฝึกการใช้นิ้วมือ เช่น การหยิบก้อนหินเล็กๆ, การฝึกเขียน เป็นต้น
บ่าย...ทำกายภาพบำบัดและพักผ่อน
เย็น...ทำงานที่โรงเรือนให้อาหารสัตว์
หลังอาหารเย็น...สวดมนต์ทำสมาธิภาวนาพร้อมการทำกายภาพบำบัด
หัวค่ำ...ฝึกมือในการใช้คอมพิวเตอร์โดยการทำเว็บบล็อก Stroke31jan13.blogspot.com
ก่อนนอน...สวดมนต์ก่อนนอน
แล้วความสำเร็จก็ปรากฏให้เห็นภายใน 33วันเท่านั้นที่ผมสามารถเดินได้ดีขึ้นมากแล้ว...เริ่มวิ่งเยาะๆ ได้บ้างแล้ว...สามารถใช้มือขวาในกิจวัตรประจำวันได้แล้ว...มีแรงพอที่จะเปิด ขวดน้ำดื่มได้...ยกของหนักได้บ้างแล้ว...สามารถพูดได้ดีขึ้น...ส่วนอาการชา ตามผิวหนังก็ค่อยๆ ดีขึ้น...และวันนี้ก็ได้เริ่มต้นทำงานที่ไร่เต็มเวลาแล้ว
นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่ผู้ป่วยโรคนี้จะต้องแข่งกับเวลาในการฟื้นฟู ร่างกายเพื่อให้ร่างกลับมาได้เร็วขึ้นเพราะเวลาป่วยที่เนิ่นนานไปก็ยิ่งจะทำ ให้โอกาสที่ร่างกายจะฟื้นคืนกลับมาได้น้อยมากยิ่งขึ้น
ส่วนอาการที่หลงเหลืออยู่ก็คงต้องเก็บไว้เป็นความทรงจำที่จะคอยเตือนเราอยู่ ทุกเสี้ยววินาทีว่า...ต่อไปนี้อย่าประมาท อย่าลืมดูแลร่างกายตนเอง และอย่าลืมที่จะกินยาเลยนะ เพราะถ้าหลอดเลือดในสมองแตกอีกครั้งโอกาสที่จะกลับมาได้แบบนี้ก็จะลดน้อยลง ไป..."ใครจะถูกรางวัลที่หนึ่งติดต่อกันสองครั้งได้บ้างละครับ"

 
...แม้ว่าจะฝึกฝนให้เกิดมี "สติ" แล้วก็ตามแต่ก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี...
หลังจากที่ตนเองอยู่ในภาวะอัมพฤกษ์ครึ่งซีกด้วยหลอดเลือดในสมองแตก
ถึงแม้ว่าจะมี "สติ" ที่คอยเป็นพลังในการฟื้นฟูร่างกายอย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังหลุดไปในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิด...ว่า ทำไมเราต้องมาเป็นแบบนี้....
...แล้วก็ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม....ทำไม.........
................คิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้จนทำให้จิตใจเริ่มเศร้าหมอง
และ "สติ" ที่ได้เข้ามาช่วยทำให้หลุดพ้นจากห้วงความรู้สึกนึกคิดที่เศร้าหมอง

ในช่วงเวลาปีครึ่งที่ได้ทำฟาร์มรีดนมโดยที่มีผมทำงานอยู่เพียงคนเดียว
ถึงแม้โดยภาพรวมจะมีความสุขและสนุกกับการทำงานก็ตาม
แต่ตอนที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ามากๆ ก็ทำให้จมอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิด
...กูมาทำบ้าอะไรอยู่ว่ะ....แล้วก็ทำไม...ทำไม..ทำไม..ทำไม..ทำไม..ทำไม......
................คิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้จนทำให้จิตใจเริ่มเศร้าหมอง
และ "สติ" ที่ได้เข้ามาช่วยทำให้หลุดพ้นจากห้วงความรู้สึกนึกคิดที่เศร้าหมอง
"ความโชคดี" ไม่ได้มีมาอย่างต่อเนื่อง...สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ต่อภาวะโรคซึมเศร้า
จนต้องหาทางปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผ่านทางโทรศัพท์เพราะไม่สามารถที่จะหยุดงานรีดนมได้
อีกทั้งรู้ตัวดีว่า "เจอแบบหนักมากจนเอาไม่อยู่แล้ว" ถ้าปล่อยไว้ผมคงไม่มีโอกาสมานั่งพูดคุยได้แบบนี้
ตนเองก็รู้สึกสลดใจเมื่ออีกไม่กี่วันก็เจอกับข่าวโรบิน วิลเลี่ยมส์เสียชีวิตจากภาวะโรคซีมเศร้า
ผมหวังว่า...สามบทความที่ผมตั้งใจเขียนขึ้นมาในช่วงวาระครบสองปีจากเส้นเลือดในสมองแตก
ให้กับเพื่อนๆ ที่ยังต้องทำงานหนัก...ยังแบกความเคร่งเครียด...ยังวุ่นวายอยู่ในห้วงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด
เริ่มตระหนักและดูแลเอาใจใส่ในความสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจให้ดีในแต่ละวันนะครับ...
ดังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า....The Primordial Buddhas are saying,
"Not doing wrong action,
Sincerely doing every kind of good,
Naturally clarifies this mind,
This is the Teaching of all the Buddhas."

วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เริ่มต้นทำอาชีพฟาร์มรีดนมโค

เมื่อวันเสาร์ที่ 8 มิถุนายนเป็นวันแรกที่ได้เริ่มส่งนมโคให้กับสหกรณ์โคนม ห้วยสัตว์ใหญ่...ก็ขอถือว่าเป็น "วันเริ่มต้นชีวิตใหม่" อีกครั้งหลังจากที่ต้องล้มป่วยด้วยโรคหลอดเลือดในสมองแตกทำให้ร่างกายซีกขวามีอาการชาและอ่อนแรง...ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตเป็นอย่างมากเพราะเดินไม่ได้...มือขวาก็ใช้งานไม่ได้...

เป็นเวลากว่า 192 วันที่อยู่ภายใต้การฟื้นฟูร่างกาย หากนับเป็นวันก็จะดูเยอะ แต่ถ้าพูดว่า "4 เดือนกับอีก 9 วัน" ที่สามารถกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยอาชีพฟาร์มรีดนมโค...ก็นับว่าเป็นวันเวลาที่ร่างกายของผมฟื้นฟูกลับมาได้รวดเร็ว...ถึงแม้ว่ายังคงมีการชาตามผิวหนังหลงเหลืออยู่...อาการความจำสั้น...แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมากนัก

ผมหวังว่าข้อมูลอาการป่วยและการฟื้นฟูตามระยะเวลาที่ผ่านมาที่ได้บันทึกไว้ในที่นี้...คงจะเป็นกำลังใจให้กับผู้ป่วยเช่นเดียวกับผม...ให้ลุกขึ้นมาสู้...ให้มีพลังใจการออกกำลังกายฟื้นฟูร่างกาย...ให้สวดมนต์นั่งสมาธิเพื่อขจัดอาการเครียดทางจิตใจ...เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการกลับมาใช้ชีวิตได้ดังเดิม

เช่นเดียวกันครับ...ที่คนที่อยู่เคียงข้างก็จะต้องอดทน...ดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วยเป็นพิเศษ...การถนอมน้ำใจคำพูดก็เป็นสิ่งสำคัญ ดังเช่น น้องนิด "ภรรยาสุดที่รัก" ที่ได้อยู่เคียงข้างนับตั้งแต่รู้ข่าวอาการป่วยของผม...ลูกวิช, คุณยายณี และน้องส้มที่ต่างก็เร่งเดินทางมาให้กำลังใจทันที...คุณพ่อของผมที่เดินทางมาพร้อมกับพี่ต้อย ซ้อหยวน พี่ตุ๊ก พี่ติ่งและอานึก รวมถึงหลานๆ ที่ต่างแวะเวียนมาให้กำลังใจ โดยเฉพาะคุณพ่อที่ได้มาเยี่ยมถึงสามวันติดต่อกันทุกครั้งที่พ่อมาเยี่ยม "พ่อได้ลูบขาแล้วก็ถามว่า...รู้สึกมั๊ย?" เพียงแค่นี้ผมก็รู้สึกตื้นตันใจจนแปรเปลี่ยนมาเป็นพลังใจที่จะต้องกลับมาเดินให้ได้อีกครั้งหนึ่ง

"...อย่าท้อแท้ สิ้นหวัง และยอมพ่ายแพ้ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น สร้างพลังใจเพื่อการเริ่มต้นก้าวเดินให้ได้อีกครั้ง...

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อีกหนึ่งบททดสอบสภาพร่างกายและจิตใจ

เมื่อวานเย็นถือได้ว่า...ผมได้ผ่านบททดสอบสภาพร่างกายและจิตใจ...เพราะได้ย้ายกองอาหารสัตว์จำนวน 50 กระสอบที่มีน้ำหนักรวมถึง 1500 กิโลกรัมจากหน้าประตูทางเข้าฟาร์มไปเก็บไว้ที่หน้าโรงเรือนเนื่องจากรถบรรทุกที่มาส่งอาหารคันใหญ่เกินกว่าจะผ่านเข้าประตูไร่ได้จึงจำเป็นต้องวางกองอาหารไว้บริเวณหน้าประตูก่อน

ตอนเย็นๆ หลังจากเสร็จงานให้อาหารเหล่าบรรดาฝูงโคเรียบร้อยแล้ว จึงชวนน้องนิดหัดขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างเพื่อทำการขนย้ายอาหารโดยจะขนได้ครั้งละ 5 กระสอบรวมน้ำหนัก 150 กิโลกรัมยังไม่รวมน้ำหนักคนขับขี่และคนงานประจำไร่อีกไม่น้อยกว่า 120 กิโลกรัม ทำให้ต้องทำการขนย้ายกองอาหารนี้ถึงสิบเที่ยวทีเดียว...ในระหว่างที่กำลังขนย้ายก็ต้องเติมลมยางรถพ่วงข้างเพราะคงจะแบกรับน้ำหนักมากจนเกินไป

แต่สำหรับผมแล้ว "ผมไม่ได้คิดว่า...ผมกำลังทำงานหนักในการขนย้ายกระสอบอาหาร แต่ผมกำลังเดินเล่นยามเย็นๆ เท่านั้น" จึงทำให้ผมสามารถค่อยๆ ยกกระสอบอาหารกระสอบแล้วกระสอบเล่าไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าร่างกายจะออกอาการอ่อนแรงให้เห็นบ้าง...จนน้องนิดเอยปากว่าหยุดพักก่อนแล้วพรุ่งนี้ขนย้ายที่เหลือ แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นและพิจารณาแล้วว่า...ร่างกายนี้ยังไหวอยู่ ยังมีกำลังพอเพียงที่จะยกกระสอบอาหารได้อยู่ จึงควรที่จะทำต่อให้แล้วเสร็จ...แล้วในที่สุดก็ทำการย้ายกองกระสอบอาหารทั้งหมดได้เป็นที่เรียบร้อย

จึงเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสภาพร่างกายและจิตใจที่ผมสอบผ่านมาได้  

ปล. เหตุที่ทำให้เหนื่อยก็คงจะมีเหตุมาจากการลุ้นจนเสียวในการหัดขับขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างเป็นครั้งแรกของน้องนิดภรรยาสุดที่รักแต่เธอก็สามารถฝึกฝนจนสามารถขับขี่ได้เก่งทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

...นับจากนี้จะไม่มีคำว่า "ท้อแท้"...

หลังจากได้เข้าพบหมอแผนกศัลยกรรมประสาทเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็ได้แจ้งคุณหมอให้ทราบถึงอาการชาตามผิวหนังที่ยังคงอยู่...ซึ่งคุณหมอก็ได้ตอบว่า "อาการชาตามผิวหนังนี้คงจะไม่หายไปแล้วละครับ คงจะอยู่เช่นนี้ตลอดไป"

ผมเองก็ไม่ได้ผิดคาดต่อคอมเม้นท์ของคุณหมอเท่าไรนักแต่ก็ไม่คิดว่าคุณหมอจะยืนยันอย่างรวดเร็วเกินไปเท่านั้นเอง ก็ด้วยเพราะคุณหมอจากแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟูได้เคยบอกไว้แล้วว่า "อาการชาตามผิวหนังนี้จะหายช้าที่สุด และอาจจะมีอาการหลงเหลืออยู่บ้างบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด"

สำหรับผมเองก็ไม่ได้รู้สึก "ท้อแท้" หรือ "หมดกำลังใจ" ต่อการยืนยันอย่างรวดเร็วของคุณหมอแผนกศัลยกรรมประสาทแต่อย่างใด ด้วยเพราะวันนี้ผมสามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาใช้ชีวิตได้แล้วไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง การใช้มือทำงานต่างๆ เรียกได้ว่า "ผมสามารถใช้ชีวิตประจำวันเพื่อการดำรงชีพได้แล้ว" เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว มีความสุขแล้วครับ

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

92 วันกับชีวิตภายใต้สภาวะร่างกายซีกขวาชาและอ่อนแรง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ 92 วันแล้วที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สภาวะร่างกายซีกขวาชาและอ่อนแรงจากหลอดเลือดในสมองแตก แต่เป็น 92 วันที่ผมต้องเผชิญอะไรมากมายทั้งสภาวะโรคซึมเศร้า, ความเครียดที่ร่างกายซีกขวาใช้การไม่ได้, การพยายามลุกขึ้นเดินการใช้มือขวาจับช้อนกินข้าว, การเรียนรู้หาข้อมูลของโรคนี้, ความพยายามออกกำลังกายเพื่อฟี้นฟูร่างกายให้กลับคืนมา แล้วภายในระยะเวลาเพียงสองเดือนที่ร่างกายผมกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้ว

จนถึงวันนี้ที่ร่างกายผมยังไม่กลับมาเป็นปกติทั้งหมดก็ตาม...แต่ผมก็เริ่มใช้ชีวิตได้ตามปกติมากยิ่งขึ้น...จนสามารถที่จะอยู่คนเดียวได้บ้างแล้ว ถึงแม้ว่ายังคงมีอาการที่ต้องรอการฟื้นฟูและใช้ระยะเวลานานกว่าจะหาย หรือท้ายที่สุดอาการเหล่านั้นอาจจะหลงเหลืออยู่ไปตลอดชีวิตนี้ก็เป็นไปได้...นี่ก็ความเห็นของคุณหมอแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู...

...อาการที่ยังคงหลงเหลืออยู่...
อาการชาตามผิวหนัง...ถีงแม้ว่าอาการชาจะค่อยๆ หายไปบ้าง แต่ก็ยังหลงเหลืออยู่มาก วันก่อนใช้มือไปจับถาดขนมหม้อแกงซึ่งปกติจะเป็นถาดเย็นแล้ว...แต่บังเอิญว่าถาดนี้ยังร้อนอยู่พอนิ้วมือไปโดนก็รู้สึก "เจ็บจี๊ดๆ" ที่นิ้ว แทนที่จะรู้สึกว่า "ร้อน" ทำให้ต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้ร่างกายด้านขวาไปโดนของร้อนๆ หรือโดนไฟ หรืออะไรก็ตามที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย

อาการพูดไม่ชัด...ก็ยังต้องพยายามฝึกพูดต่อไป แต่ก็ต้องระวังไม่ให้พูดมากจนเกินไป

อาการความจำ...ก็ยังต้องค่อยๆ ฟื้นฟูให้สมองมีพื้นที่ในการจดจำต่อไป

ผมก็เชื่อว่า "ผมสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับร่างกายที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข เพราะผมยังสามารถใช้ร่างกายทำงานเพื่อดำรงชีพได้แล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ"

วันพุธที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2556

...63 วัน กับการฟื้นฟูร่างกายที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว...

เช้าวันนี้หลังจากที่ได้วิ่งบนพื้นคอนกรีตที่ระเบียงหน้าบ้านสักสิบนาทีแล้วก็ได้ทดลองวิ่งบนถนนดินที่ไร่ที่มีระยะทางไกลมากขึ้นแถมสภาพพื้นดินที่ไม่เรียบก็ทำให้ต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้น...อีกทั้งการได้สวมถุงเท้าพร้อมรองเท้าวิ่งก็เพิ่มภาระการรับรู้ของเท้าที่มีอาการชาอยู่...แต่ก็ถือว่า “ทำได้ดี” สำหรับวันแรก...สามารถรับรู้และควบคุมเท้าในพื้นผิวที่แตกต่างกันจนทำให้มั่นใจในการวิ่งมากขึ้น...

นอกเหนือจากนี้ก็ได้ทำงานที่ใช้แรงเพิ่มขึ้นกว่าทุกวันคือ การย้ายกรงหมาจากโรงเรือน กรงหมาที่ถูกเชื่อมติดกับโครงเหล็กเพื่อกั้นเป็นคอกหมาที่โรงเรือน ทำให้ต้องใช้ค้อน ใช้เลื่อย แถมด้วยปัญญาที่ค่อยๆ ทำให้เหล็กที่เชื่อมกันอยู่แยกออกจากกันเพื่อให้เหลือแต่กรงหมา แถมด้วยการยก การย้ายข้าวของต่างๆ ก็ทำเองเพียงลำพังคนเดียว ยกเว้นกรงหมา ที่ต้องขอแรงเพื่อนบ้านที่ใจดีมาช่วยยกจากโรงเรือนมาไว้ที่หน้าระเบียงบ้าน ทำให้เหล่าหมาต่างดีใจที่ได้นอนในบ้านที่เคยนอนอีกครั้ง

ด้วยระยะเวลาเพียง 63 วัน...ที่ร่างกายฟื้นฟูกลับคืนมาได้ถึงเพียงนี้ก็น่าพึงพอใจแล้ว...ที่สำคัญคือการทำให้พ่อที่เป็นห่วงผมเป็นกังวลว่าผมจะสามารถทำงานที่ไร่ได้อย่างไร...ก็สามารถทำให้พ่อคลายความกังวลได้ด้วยพ่อได้เห็นผมสามารถยกของขึ้นรถของพี่ชายได้ในระหว่างที่ผมกลับไปเยี่ยมพ่อที่บ้านเมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา...ผมได้เห็นรอยยิ้มของพ่อที่เฝ้าจับตามองผมพร้อมกับพูดว่า... "ร่างกายดีขึ้นมากจริงๆ”

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

...เปรียบเทียบพัฒนาการการฝึกเขียน...

ระหว่างที่ผมได้เข้ารับการรักษาแพทย์แผนไทยที่โรงพยาบาลท่าโรงช้าง ซึ่งผมได้ใช้เวลาว่างในการปฏิบัติธรรมพร้อมการทำกายภาพบำบัดตามที่ได้เคยทำมา รวมถึงการฝึกเขียนด้วย โดยผมได้รบกวนคุณพยาบาลขอกระดาษเสียหน้าเดียวและขอยืมปากกามาหัดฝึกการเขียน 


วันนี้ได้รื้อของก็เจอกระดาษที่ฝึกเขียนแผ่นนี้...ก็เลยบันทึกภาพไว้ก่อนที่จะทิ้งไป...และได้นำมาเปรียบเทียบถึงพัฒนาการของการฝึกเขียน...จะเห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพีงแค่แปดวันก็เห็นถึงความแตกต่าง เช่น เขียนตัวหนังสือได้เล็กลง เขียนได้ตรงโดยไม่มีเส้น เป็นต้น

ไม่ใช่ว่าเพราะผมเก่งที่ทได้หรอกนะครับ แต่ผมเชื่อว่าน่าจะเกิดจากการเริ่มต้นการทำการฟื้นฟูที่ถูกต้องและเหมาะสมทั้งกายและใจ...จากนั้นทุกๆ อย่างก็เข้าสู่กระบวนการพัฒนาการที่ควรจะเป็นนั่นเอง 

ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่อยู่ในภาวะเส้นเลือดในสมองแตกเช่นผมว่า...เราสามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาได้...ขอเพียงให้มีความเชื่อมั่นและเริ่มต้นทำกายภาพบำบัดทันทีครับ   

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

...50 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมพัฒนาการของร่างกายที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

...เรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า "เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว" แต่สำหรับผมที่เวลานี้มีร่างกายสุขครึ่งหนึ่ง ทุกข์ครึ่งหนึ่ง...แต่เวลาก็โบยบินเช่นเดียวกัน...นี่ก็ผ่านไปแล้ว 50 วันเมื่อนับจากวันแรกที่ร่างกายซีกขวาชาและไม่มีแรงเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก

แต่ทุกๆ วินาทีที่ผ่านไปนั้นผมมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูร่างกาย ีกำลังใจที่จะออกกำลังกาย มีความสุขที่ได้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน...หากจะลองนับเวลาที่ทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้นก็รวมๆ แล้วไม่น่าจะเกิ2 วันเท่านั้นเองรวมถึงช่วงที่อยู่ในสภาวะซึมเศร้าด้วยแล้ว

ทุกวันี้ก็เริ่มฝึกวิ่งทุกเช้าแล้ว...แถมวิ่งได้นานต่อเนื่องได้เกือบยี่สิบนาทีอีกด้วย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่เห็นถึงพัฒนาการของตัวเอง

อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าดีใจว่าเป็นการฟื้นฟูกลับมาได้ก็คือการเล่นกีตาร์ ซึ่งเป็นการใช้มือขวาได้ดีมาก ลองคลิกฟังได้ที่นี่


..ขอเป็นพลังใจให้ผู้ที่อยู่ในสภาวะเช่นเดียวกับผมครับว่า "เราสามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว ขอเพียงอย่าท้อแท้...อย่าสิ้นหวัง...อย่าผิดหวัง...อย่าสูญเสียเวลาไปกับการคิดมากจนทำให้เกิดความวิตกกังวลเลยนะครับ"

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

...อยากลืมกลับจำ อยากจำกลับลืม...

เป็นวลีที่ชื่นชอบมาก เพราะชีวิตของเรา...มักจะเป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง 

...แต่วันนี้ผมเจอผลกระทบเกี่ยวกับความจำของสมอง...หลังจากปรึกษากับคุณหมอก็พบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็น่าจะสืบเนื่องมาจากเส้นเลือดในสมองแตก อาการดังกล่าวก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้และไม่ต้องตกใจกับอาการที่เกิดขึ้น เพราะจะสามารถฟื้นฟูให้กลับมาได้เช่นเดียวกัน คุณหมอก็พูดดูง่ายดายเสียจริงๆ แต่ผมก็ยังวิตกกังวลอยู่ดีเพราะการฟื้นฟูแขนขามันยังเห็นความเคลื่อนไหวและพัฒนาการแล้วอะไรที่อยู่ในสมอง...เราจะเห็นได้อย่างไรกัน

สิ่งที่ผิดปกติที่เห็นได้ชัดเจนคือ...
  • จำอะไรใหม่ๆ ไม่ได้...คุณหมอได้แนะนำให้ร้องเพลงในขณะออกกำลังกาย เพลงเก่าก็นึกไม่ออก...เพลงใหม่ก็ร้องไม่ได้ จำเนื้อเพลงไม่ได้เลย เช่น เพลงเมื่อฝนซา จนบัดนี้ก็ยังจำเนื้อร้องไม่ได้เลย ทั้งการเขียนเนื้อเพลงก็แล้ว ทั้งลูกวิชเล่นกีตาร์แบบช้าๆ ร้องซ้ำๆ ตั้งหลายเที่ยวก็แล้ว
  • คำบางคำ...หายไป...นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก บางครั้งในขณะที่จะพูด หรือพิมพ์ก็จำไม่สามารถพูดต่อได้ ดูเหมือนว่าคำๆ นั้นหายไปจากความทรงจำแล้ว...
อันที่จริงก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนะที่เราจะได้ลืมบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เราทุกข์ได้บ้าง...แต่ความเป็นจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย...ผมรับรู้เมื่อดที่ผมโกรธ จิตสามารถได้ขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ มาประกอบความโกรธได้อย่างทันท่วงที...ทำไมไม่ลมๆ ไปเสียบ้างนะ!!!

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่า...เราออกกำลังกายได้เต็มที่แล้ว???

ที่ผ่านมาก็จะมีคำถามขึ้นในใจในระหว่างที่ทำกายภาพบำบัดว่า...เราออกกำลังกายได้เหมาะสมแล้วหรอยัง? เต็มที่แล้วหรือยัง? หักโหมมากไปหรือปล่าว? หรือน้อยไปหรือปล่าว? จึงได้ไขข้อข้องใจนี้กับคุณหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟู

คุณหมอก็ได้แนะนำเทคนิคที่จะตรวจสอบว่าภายในเวลา 30นาทีที่กำหนดให้เราต้องออกกำลังกายนันเป็นไปอย่างเหมาะสมแล้ว...โดยให้ใช้เครื่องวัดความดันวัดก่อนออกกำลังกาย ให้จดค่าอัตราการเต้นของหัวใจไว้ แล้ววัดความดันอีกครั้งทันทีที่หลังออกกำลังกายเสร็จแล้ว...

...ถ้าหากค่าอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น 20 จากค่าที่วัดก่อนการออกกำลังกาย นั่นหมายถึงว่า การออกกำลังกายนั่นมีความเหมาะสมพอดีกับร่างกายของเราแล้ว...

ผมก็ได้ลองทำตามคำแนะนำ...ในครั้งแรกอัตราที่วัดได้เป็นไปตามที่คุณหมอได้แนะนำไว้...แต่ในครั้งที่สองก็เพิ่มขึ้นเพง 10 เท่านั้นเองก็รู้ว่าการออกกำลังยังไม่เหมาะสมซึ่งด้วยหลักการอันนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ที่จะเป็นการตรวจสอบว่าเราออกกำลังกายได้เหมาะสมแล้วหรือยัง...แถมยังใช้ประโยชน์จากเครื่องวัดความดันได้อีกทางหนึ่งด้วย   
  

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

และแล้วอาการชาตามผิวหนังก็ก่อเหตุ...

ด้วยอาการชาตามผิวหนังของร่างกายซีกขวาที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับอาการแขนขาอ่อนแรง ซึ่งคุณหมอผู้เชี่ยวชาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูก็ได้กำชับแล้วว่า...อาการชาตามผิวหนังนี้จะหายช้าที่สุด และอาจจะหลงเหลือทิ้งอาการชาไว้บางส่วนก็เป็นได้...
 
ตรงนี้สิ...ที่น่ากลัวและเป็นที่น่ากังวลที่สุด!!! อะไรหรือครับ? ลองจินตนาการดูนะครับ ว่าหากผิวหนังที่อาการชาอยู่จึงทำให้ไม่สามารถรู้สึกถึงการสัมผัสสิ่งอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเช่น ยุงกัด มดกัด โดนน้ำร้อนลวก มีดบาด แผลถลอก เป็นต้น นั่นหมายถึงเราจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น...จนกว่าจะมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเรา...

ละแล้ววันนี้ก็เกิดเหตุการณ์ที่เป็นห่วงนี้จนได้...ก็กำลังผูกเชือกเพื่อรัดท่อนไม้อยู่ทำจนใกล้จะเสร็จก็เหลือบไปเห็นว่ามีผิวหนังถลอกที่นิ้วก้อย...ซึ่งก็ไม่รู้สึกเจ็บแสบที่แผลเลย...แถมก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร...เกิดขึ้นได้อย่างใด...

นี่คือความอันตราย ความน่ากลัวและเป็นสิ่งที่น่ากังวลที่สุดในเวลานี้!!!


วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

สมุนไพรบำบัดด้วยแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลท่าโรงช้าง

ระหว่างวันที่ 27กพ.-1มีค. ผมได้มีโอกาสเข้ารับการรักษาด้วยสมุนไพรบำบัดของแพทย์แผนไทย ที่โรงพยาบาลท่าโรงช้าง จังหวัดสุราษฏร์ธานี ตามคำแนะนำของพี่สาวที่ทำงานอยู่ในแวดวงพยาบาล ก็ต้องถือว่าเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีที่ได้เดินทางสู่บ้านเกิดเข้ารับการรักษาที่นี่เพราะจะได้มีโอกาสพบคุณพ่ออีกครั้งหนึ่ง

ตารางการบำบัดด้วยสมุนไพรในแต่ละวันที่จะต้องทำเช้าคือ การพ่นสมุนไพร, การอบไอน้ำสมุนไพร และการแช่เท้าสมุนไพร ส่วนตอนเย็นก็ต้องพ่นสมุนไพร และอบไอน้ำสมุนไพร 

สำหรับการนวดเพื่อบำบัดโรคพร้อมการประคบสมุนไพร ก็จะต้องเข้าคิวในช่วงกลางวันหรือบ่าย แต่ผมโชคดีที่เจ้าหน้าที่พยาบาลเห็นว่าผมมีเวลามาอยู่รักษาเพียงสามวัน...จึงจัดให้ผมได้รับการนวดเพื่อบำบัดโรคและประคบสมุนไพรติดกันสองวัน

ด้วยภูมิปัญญาขอคนสมัยก่อนที่ได้นำสมุนไพรมาเพื่อการรักษาบำบัดโรคจนเป็นที่ยอมรับ และทางกระทรวงสาธารณสุข็ได้จัดตั้งเป็นโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ประชาชนได้เข้ารับบริการซึ่งมีความน่าเชื่อถือในด้านตัวยาและมั่นใจในการจัดการให้เป็นไปตามมาตรฐานของโรงพยาบาลอีกด้วย

ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่พยาบาลทุกท่านที่ให้การดูแลพยาบาลเอาใจใส่เป็นอย่างดีในระหว่างที่ผมเข้ารับการรักษาครับ    

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปัจจัยที่ทำให้การฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

นับจากวันที่ผมป่วยจากเสนเลือดในสมองแตกจนทำให้ร่างกายซีกขวาชาและอ่อนแรง...ไม่สามารถเดินได้...ไม่สามารถใช้ือขวาได้เลย...ปากเบี้ยวทำให้พูดช้าละไม่ชัด...และผิวหนังมีอาการชาไม่สามารถรับรู้สัมผัสอื่นใดได้เลย... 

นถึงวันนี้ที่ผมสามารถเดินได้ดีขึ้นมากแ้ว...เริ่มวิ่งเยาะๆ ได้บ้างแล้ว...สามารถใช้มือขวาในกิจวัตรประจำวันได้แล้ว...มีแรงพอที่จะเปิดขวดน้ำดื่มได้...ยกของหนักได้บ้างแล้ว...สามารถพูดได้ดีขึ้น...ส่วนอาการชาตามผิวหนังก็ค่อยๆ ดีขึ้น...และวันนี้ก็ได้เริ่มต้นทำงานที่ไร่เต็มเวลาแล้ว

รวมเวลาป่วยและฟื้นฟูร่างกายทั้งสิ้33 วัน (ระหว่าง 31มค-5มีค)...อะไรเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้การฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้อย่างรวดเว...ก็คงพอจะสรุปได้เป็นข้อๆ ดังนี้

1. ลังใจ...จากภรรยาสุดที่รัก ที่ดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลา...จากลูกรัก ที่เป็นกำลังใจ...จากพ่อ ที่เป็นห่วง เอามือมาลูบแขนลูบขาแล้วถามว่า รู้สึกมั๊ย? รวมถึงญาติพี่น้องทุกๆ คน
 
2. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคหลดเลือดสมอง...ได้รับข้อมูลจากคุณหมอลูกศิษย์ของคุณยายและการค้นหาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากเน็ต...ก็สรุปได้ว่า...ภายในสามเดือนแรกจะสามารถฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้อย่างรวดเร็ว...และการฟื้นฟูจะช้าลงไปตามระยะเวลที่ผ่านไป

3. ความมีสติจึงไม่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า...มีโอกาสได้พูดคุยกับหลายๆ คนที่ป่วยเช่นเดียวกับผม ก็พบว่าส่วนใหญ่จะมีอาการภาวะซึมเศร้าอยู่นานหลายสัปดาห์เพราะรับไม่ได้ถึงสภาพที่เกิดขึ้น...ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายก็มี...แต่ด้วยการฝึกฝนปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอทำให้ตัวผมเกิดมีสติที่เพียงพอที่ไม่อยู่ภายใต้ภาวะซึมเศร้า

4. สุดท้ายก็คือ ความเพียรพยายามฟื้นฟูร่างกายผสมผสานกับการดมนต์ทำสมาธิ...ที่เป็นปัจจัยทำให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว...เพราะผมเชื่อว่าปัญหาอยู่ที่การควบคุมสั่งการของสมอง...ผมจึงเน้นฝึกฝนทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูการสั่งการควบคุมร่างกายซีกขวา...
ตารางเวลาที่ยกตัวอย่างมาให้ดูตรงนี้จะทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้
เช้ามืด...สวดมนต์ทำสมาธิภาวนา
ฟ้าเริ่มสว่าง...ออกฝึกเดิน ฝึกวิ่ง เสร็จแล้วก็ทำกิจวัตรประจำวัน
ลังอาหารเช้า...ทำกายภาพบำบัดหลังจากสวดมนต์ทำสมาธิภาวนา
ก่อนอาหารเที่ยง...ใช้เวลาที่ว่างฝึกการใช้นิ้วมือ เช่น การหยิบก้อนหินเล็กๆ, การฝึกเขียน เป็นต้น
บ่าย...ทำกายภาพบำบัดและพักผ่อน
เย็น...ทำงานที่โรงเรือนให้อาหารสัตว์
หลังอาหารเย็น...สวดมนต์ทำสมาธิภาวนาพร้อมการทำกายภาพบำบัด
หัวค่ำ...ฝึกมือในการใช้คอมพิวเตอร์โดยการทำเ็บบล็อก Stroke31jan13.blogspot.com
ก่นอน...สวดมนต์ก่อนนอน   
จะเห็นได้ว่า...ผมใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า...มีความเพียรที่จะฝึกฝนปฏิบัติเช่นนี้ทุกวัน จนทำให้ผมสามารถกลับมาทำงานได้เต็มเวลาแล้ว แะผมก็เชื่อว่าเรี่ยวแรงของแขนขาก็จะกลับมาเป็นเช่นเดิมในเวลาอีกไม่นาน