...ลดโอกาสเสี่ยงเส้นเลือดในสมองแตกจากความดันเลือดสูง...
ถึงผมจะไม่ใช่หมอ...ไม่ได้มีความรู้ทางด้านนี้...
แต่จากที่ผมเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีกเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก
มีสาเหตุมาจากภาวะความดันเลือดสูงมาเป็นระยะเวลา 2ปีแล้ว
หลังจากฟื้นฟูร่างกายจนสามารถกลับมาเดินได้ทำงานได้แล้ว
แต่อาการชาตามผิวหนังของร่างกายซีกขวาก็ยังคงอยู่...
ความแข็งแรงแข็งแกร่งของแขนและขาก็ยังคงมีปัญหาอยู่...
ปัญหาทางด้านสมองเกี่ยวคิดได้ช้า...จำไม่ค่อยได้...ก็ยังคงอยู่...
ก็เลยอยากจะแนะนำเพื่อนๆ ว่า....
1. ผมอยู่ในภาวะความดันเลือดสูง...โดยภาวะร่างกายปกติก็จะวัดค่าความดันเลือด อยู่ที่ 160....และเมื่อใดที่เราอยู่ในภาวะความเคร่งเครียดแล้ว...ความดันเลือดอาจจะ สูงถึง 180 ได้...และเมื่อใดที่ความดันเลือดสูงเกิน 190 ขึ้นไปแล้วก็จะมีโอกาสที่จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ครับ...ดังเช่นที่ผม เจอมาครับ
2. อย่าเชื่อว่า...การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรือ การควบคุมอาหารจะสามารถรอดพ้นจากอาการความดันเลือดสูงได้...สิ่งเหล่านี้จะ ช่วยให้ความดันเลือดของเราอยู่ในภาวะปกติโดยไม่ต้องกินยาควบคุมความ ดัน...หากแต่เมื่อใดที่สภาวะร่างกายหรือจิตใจเราอยู่ในสภาวะที่ผิดปกติ... ธรรมชาติที่สงบหรืออาหารที่ดีก็ช่วยควบคุมความดันเลือดไม่ได้อย่างแน่นอน ครับ
3. เมื่อรู้ตัวแล้วว่าตนเองอยู่ในภาวะความดันเลือดสูง...ก็ควรจะกินยาควบคุม ความดันเลือดตามที่หมอสั่งและให้มียาควบคุมนี้ติดตัวไว้...เพราะหากเมื่อใด ที่ร่างกายและจิตใจเรามีอาการเคร่งเครียดผิดปกติก็สามารถใช้ยาควบคุมความดัน เลือดในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อลดความเสี่ยงที่ความดันเลือดจะสูงขึ้นจนทำให้ เส้นเลือดในสมองแตกได้
สุดท้ายหากเพื่อนๆ ท่านใดที่โชคร้ายที่เจอเหมือนผมแล้ว....ก็ขอแนะนำเพียงข้อเดียวและทำให้ได้คือ....มีสติ...
ไม่ต้องแตกตื่นตกใจ
ไม่ต้องกลัวไม่ต้องร้องไห้
ไม่ต้องพะวงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายเราในตอนนั้น
เช้าตรู่วันนั้นเมื่อผมรู้ตัวว่า...ร่างกายผิดปกติไปจากเดิมแล้ว
หลังจากนั่งพักอยู่ครู่ใหญ่แล้วลองขยับแขนขวาดู...แต่มันก็ไม่ขยับอย่างที่คิด
ลองขยับขาขวาดูก็เป็นเหมือนกัน...จะลองลุกขึ้นก็ลุกขึ้นไม่ได้แล้ว
แต่ร่างกายซีกซ้ายยังทำงานได้เป็นปกติ.....
จึงค่อยๆ กระดึ้บๆ ไปหาโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน
และโทรหาภรรยาสุดที่รักเพื่อบอกถึงสิ่งผิดปกติที่พบเท่านั้น
หลังจากนั้นก็ค่อยๆ คิดจัดการเตรียมความพร้อมของตนเองที่จะไปโรงพยาบาล
เตรียมกระเป๋าตังค์และมือถือให้พร้อม
เก็บหมาสองตัวที่อยู่นอกบ้านเข้ากรงให้เรียบร้อย
เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเองให้ดูเหมาะสมที่จะออกจากบ้าน
นั่งรอ...ดื่มน้ำ...เหมือนกำลังรอรถมารับไปเที่ยวเลยครับ
ทั้งหมดที่ทำมาข้างต้นนี้...ผมต้องกระดึับๆ ไปนะเพราะลุกเดินไม่ได้แล้ว
จากบ้าน...ไปอนามัยเพื่อให้หมอประจำอนามัยดูอาการเบื้องต้น...
จนกระทั่งไปนอนรอที่ห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลหัวหิน...
ผมก็ยังไม่รู้ว่า...เส้นเลือดในสมองผมแตกแล้วจึงทำให้เป็นแบบนี้
และแล้วภรรยาสุดที่รักก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาล
ในขณะที่ผมกำลังนอนรออยู่หน้าห้องX-ray เพื่อรอสแกนสมอง
และเป็นกำลังใจให้ผมแบบสุดๆ แล้วหลังจากผ่านเรื่องร้ายๆ มาเพียงลำพัง
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้อยากจะให้เห็นถึง "สติ" ที่ผมมีในการเผชิญหน้ากับมัน
ผมเชื่อว่า...สติช่วยทำให้ภาวะร่างกายไม่ผิดปกติเลวร้ายย่ำแย่ไปกว่านี้...
1. ผมอยู่ในภาวะความดันเลือดสูง...โดยภาวะร่างกายปกติก็จะวัดค่าความดันเลือด อยู่ที่ 160....และเมื่อใดที่เราอยู่ในภาวะความเคร่งเครียดแล้ว...ความดันเลือดอาจจะ สูงถึง 180 ได้...และเมื่อใดที่ความดันเลือดสูงเกิน 190 ขึ้นไปแล้วก็จะมีโอกาสที่จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ครับ...ดังเช่นที่ผม เจอมาครับ
2. อย่าเชื่อว่า...การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรือ การควบคุมอาหารจะสามารถรอดพ้นจากอาการความดันเลือดสูงได้...สิ่งเหล่านี้จะ ช่วยให้ความดันเลือดของเราอยู่ในภาวะปกติโดยไม่ต้องกินยาควบคุมความ ดัน...หากแต่เมื่อใดที่สภาวะร่างกายหรือจิตใจเราอยู่ในสภาวะที่ผิดปกติ... ธรรมชาติที่สงบหรืออาหารที่ดีก็ช่วยควบคุมความดันเลือดไม่ได้อย่างแน่นอน ครับ
3. เมื่อรู้ตัวแล้วว่าตนเองอยู่ในภาวะความดันเลือดสูง...ก็ควรจะกินยาควบคุม ความดันเลือดตามที่หมอสั่งและให้มียาควบคุมนี้ติดตัวไว้...เพราะหากเมื่อใด ที่ร่างกายและจิตใจเรามีอาการเคร่งเครียดผิดปกติก็สามารถใช้ยาควบคุมความดัน เลือดในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อลดความเสี่ยงที่ความดันเลือดจะสูงขึ้นจนทำให้ เส้นเลือดในสมองแตกได้
สุดท้ายหากเพื่อนๆ ท่านใดที่โชคร้ายที่เจอเหมือนผมแล้ว....ก็ขอแนะนำเพียงข้อเดียวและทำให้ได้คือ....มีสติ...
ไม่ต้องแตกตื่นตกใจ
ไม่ต้องกลัวไม่ต้องร้องไห้
ไม่ต้องพะวงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายเราในตอนนั้น
เช้าตรู่วันนั้นเมื่อผมรู้ตัวว่า...ร่างกายผิดปกติไปจากเดิมแล้ว
หลังจากนั่งพักอยู่ครู่ใหญ่แล้วลองขยับแขนขวาดู...แต่มันก็ไม่ขยับอย่างที่คิด
ลองขยับขาขวาดูก็เป็นเหมือนกัน...จะลองลุกขึ้นก็ลุกขึ้นไม่ได้แล้ว
แต่ร่างกายซีกซ้ายยังทำงานได้เป็นปกติ.....
จึงค่อยๆ กระดึ้บๆ ไปหาโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน
และโทรหาภรรยาสุดที่รักเพื่อบอกถึงสิ่งผิดปกติที่พบเท่านั้น
หลังจากนั้นก็ค่อยๆ คิดจัดการเตรียมความพร้อมของตนเองที่จะไปโรงพยาบาล
เตรียมกระเป๋าตังค์และมือถือให้พร้อม
เก็บหมาสองตัวที่อยู่นอกบ้านเข้ากรงให้เรียบร้อย
เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเองให้ดูเหมาะสมที่จะออกจากบ้าน
นั่งรอ...ดื่มน้ำ...เหมือนกำลังรอรถมารับไปเที่ยวเลยครับ
ทั้งหมดที่ทำมาข้างต้นนี้...ผมต้องกระดึับๆ ไปนะเพราะลุกเดินไม่ได้แล้ว
จากบ้าน...ไปอนามัยเพื่อให้หมอประจำอนามัยดูอาการเบื้องต้น...
จนกระทั่งไปนอนรอที่ห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลหัวหิน...
ผมก็ยังไม่รู้ว่า...เส้นเลือดในสมองผมแตกแล้วจึงทำให้เป็นแบบนี้
และแล้วภรรยาสุดที่รักก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาล
ในขณะที่ผมกำลังนอนรออยู่หน้าห้องX-ray เพื่อรอสแกนสมอง
และเป็นกำลังใจให้ผมแบบสุดๆ แล้วหลังจากผ่านเรื่องร้ายๆ มาเพียงลำพัง
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้อยากจะให้เห็นถึง "สติ" ที่ผมมีในการเผชิญหน้ากับมัน
ผมเชื่อว่า...สติช่วยทำให้ภาวะร่างกายไม่ผิดปกติเลวร้ายย่ำแย่ไปกว่านี้...
...สมดุลการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจทำให้หายป่วยเร็วขึ้น...
ช่วงเวลาที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก็จะเห็นคนป่วยจำนวนมากที่นอนรักษาตัว จากอาการหลอดเลือดในสมองแตก...มีทั้งที่อาการหนักร่างกายขยับไม่ได้เลย หรือแบบแค่ชาและอ่อนแรงเช่นผม...แต่ไม่ว่าอาการทางด้านร่างกายจะสาหัสแค่ไหน ก็ตาม ผมว่าอาการทางด้านจิตใจของผู้ป่วยโรคนี้จะย่ำแย่จิตตกอย่างถึงที่ สุด...เพราะคนที่เคยแข็งแรงเดินได้ทำงานได้เพียงชั่วข้ามคืนต้องกลายมาเป็น คนที่เดินไม่ได้...ใช้มือก็ไม่ได้...พูดจาก็ไม่ชัด....ถ้าขืนเป็นอยู่อย่าง นี้..."ตายเสียดีกว่าอยู่"...ใช่ครับเพราะส่วนใหญ่จะเกิดอาการโรคซึมเศร้า แทรกซ้อนเข้ามาจนถึงภาวะที่จะคิดฆ่าตัวตาย...
คุณหมอนัดมาติดตามผลการรักษาตัวอีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากได้กลับมาพักฟื้นที่ บ้านแล้ว...ด้วยคำอธิบายที่กระชับ..สั้น..ว่า "เนื้อสมองบริเวณส่วนที่หลอดเลือดแตกนั้นคงได้รับความเสียหายจนใช้การไม่ได้ แล้ว" แต่คำพูดนี้กระทบจิตใจผมอย่างรุนแรงเพราะผมคิดต่อได้เพียงว่า "จากนี้ผมจะต้องอยู่ในสภาพอย่างนี้ไปตลอดชีวิตหรือนี้" จิตใจผมเริ่มหดหู่คิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลจนกระทั่ง ถึงบ้าน...โรคซีมเศร้าเริ่มแทรกแซงแทรกซ้อนเข้ามาแล้ว
แต่โชคยังเข้าข้างผมอยู่เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นผมเจอในนัดพบแพทย์อีกใบหนึ่ง ที่ได้ระบุวันนัดไว้อีกสามสัปดาห์เป็นแพทย์แผนกเวชศาสตร์ฟิ้นฟู...จึงได้ขอ ให้ภรรยาสุดที่รักโทรไปเลื่อนนัดพบแพทย์ให้เร็วขึ้น และก็โชคดีที่เพียงสองวันก็ได้เข้าพบแพทย์แผนกนี้แล้ว ขอย้ำว่า..."เป็นความโชคดีของผมอย่างที่สุด" เพราะคุณหมอได้อธิบายเพิ่มเติมจากคำพูดของหมอที่รักษาทางด้านสมองว่า "แต่เราสามารถที่จะฟื้นฟูให้สมองส่วนอื่นสามารถมาสั่งการทำงานแทนเนื้อสมอง ส่วนที่ได้รับความเสียหาย โดยที่คนไข้จะต้องอดทนและพยายามถึงที่สุดที่จะฟื้นฟูร่างกายส่วนที่เสียหาย ให้กลับมาได้มากที่สุดโดยเร็ว เพราะเวลาที่เนินนานออกไปเท่าไรการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาก็โอกาสจะน้อยลงไป เช่นกัน
ว่าแล้วคุณหมอก็สั่งและย้ำให้เริ่มใช้มือขวาตั้งแต่วันนี้โดยให้ทำทุกอย่าง ที่เคยทำ...ถือช้อนกินข้าว...ยกแก้วกินน้ำ...ใส่เสื้อผ้าติดกระดุม...จับ ปากกาเขียนหนังสือ...เป็นต้น เพราะหากไม่เริ่มฝึกใช้งานร่างกายซีกขวาทั้งหมดสมองก็จะเข้าใจว่าร่างกาย ส่วนนี้ใช้งานไม่ได้แล้ว..คุณหมอยังแนะนำให้ทำการฝึกหยิบจับสิ่งของเล็กๆ เพื่อฝึกนิ้วให้ได้ครบทุกนิ้ว และก็ฝึกเดินเช้าเย็นเริ่มต้นอย่างน้อยสิบนาทีจนกระทั่งได้นานถึงครึ่ง ชั่วโมง...สุดท้ายก็ต้องออกกายบริหารตามที่ได้รับการฝึกมาแล้ว ว่าแล้วผมก็นำมาประยุกต์ก้บการฟื้นฟูจิตใจด้วยการปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป ด้วยตามตารางเวลาการฟื้นฟูร่างกายดังนี้
เช้ามืด...สวดมนต์ทำสมาธิภาวนา
ฟ้าเริ่มสว่าง...ออกฝึกเดิน ฝึกวิ่ง เสร็จแล้วก็ทำกิจวัตรประจำวัน
หลังอาหารเช้า...ทำกายภาพบำบัดหลังจากสวดมนต์ทำสมาธิภาวนา
ก่อนอาหารเที่ยง...ใช้เวลาที่ว่างฝึกการใช้นิ้วมือ เช่น การหยิบก้อนหินเล็กๆ, การฝึกเขียน เป็นต้น
บ่าย...ทำกายภาพบำบัดและพักผ่อน
เย็น...ทำงานที่โรงเรือนให้อาหารสัตว์
หลังอาหารเย็น...สวดมนต์ทำสมาธิภาวนาพร้อมการทำกายภาพบำบัด
หัวค่ำ...ฝึกมือในการใช้คอมพิวเตอร์โดยการทำเว็บบล็อก Stroke31jan13.blogspot.com
ก่อนนอน...สวดมนต์ก่อนนอน
แล้วความสำเร็จก็ปรากฏให้เห็นภายใน 33วันเท่านั้นที่ผมสามารถเดินได้ดีขึ้นมากแล้ว...เริ่มวิ่งเยาะๆ ได้บ้างแล้ว...สามารถใช้มือขวาในกิจวัตรประจำวันได้แล้ว...มีแรงพอที่จะเปิด ขวดน้ำดื่มได้...ยกของหนักได้บ้างแล้ว...สามารถพูดได้ดีขึ้น...ส่วนอาการชา ตามผิวหนังก็ค่อยๆ ดีขึ้น...และวันนี้ก็ได้เริ่มต้นทำงานที่ไร่เต็มเวลาแล้ว
นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่ผู้ป่วยโรคนี้จะต้องแข่งกับเวลาในการฟื้นฟู ร่างกายเพื่อให้ร่างกลับมาได้เร็วขึ้นเพราะเวลาป่วยที่เนิ่นนานไปก็ยิ่งจะทำ ให้โอกาสที่ร่างกายจะฟื้นคืนกลับมาได้น้อยมากยิ่งขึ้น
ส่วนอาการที่หลงเหลืออยู่ก็คงต้องเก็บไว้เป็นความทรงจำที่จะคอยเตือนเราอยู่ ทุกเสี้ยววินาทีว่า...ต่อไปนี้อย่าประมาท อย่าลืมดูแลร่างกายตนเอง และอย่าลืมที่จะกินยาเลยนะ เพราะถ้าหลอดเลือดในสมองแตกอีกครั้งโอกาสที่จะกลับมาได้แบบนี้ก็จะลดน้อยลง ไป..."ใครจะถูกรางวัลที่หนึ่งติดต่อกันสองครั้งได้บ้างละครับ"
...แม้ว่าจะฝึกฝนให้เกิดมี "สติ" แล้วก็ตามแต่ก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี...
หลังจากที่ตนเองอยู่ในภาวะอัมพฤกษ์ครึ่งซีกด้วยหลอดเลือดในสมองแตก
ถึงแม้ว่าจะมี "สติ" ที่คอยเป็นพลังในการฟื้นฟูร่างกายอย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังหลุดไปในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิด...ว่า ทำไมเราต้องมาเป็นแบบนี้....
...แล้วก็ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม....ทำไม.........
................คิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้จนทำให้จิตใจเริ่มเศร้าหมอง
และ "สติ" ที่ได้เข้ามาช่วยทำให้หลุดพ้นจากห้วงความรู้สึกนึกคิดที่เศร้าหมอง
ช่วงเวลาที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก็จะเห็นคนป่วยจำนวนมากที่นอนรักษาตัว จากอาการหลอดเลือดในสมองแตก...มีทั้งที่อาการหนักร่างกายขยับไม่ได้เลย หรือแบบแค่ชาและอ่อนแรงเช่นผม...แต่ไม่ว่าอาการทางด้านร่างกายจะสาหัสแค่ไหน ก็ตาม ผมว่าอาการทางด้านจิตใจของผู้ป่วยโรคนี้จะย่ำแย่จิตตกอย่างถึงที่ สุด...เพราะคนที่เคยแข็งแรงเดินได้ทำงานได้เพียงชั่วข้ามคืนต้องกลายมาเป็น คนที่เดินไม่ได้...ใช้มือก็ไม่ได้...พูดจาก็ไม่ชัด....ถ้าขืนเป็นอยู่อย่าง นี้..."ตายเสียดีกว่าอยู่"...ใช่ครับเพราะส่วนใหญ่จะเกิดอาการโรคซึมเศร้า แทรกซ้อนเข้ามาจนถึงภาวะที่จะคิดฆ่าตัวตาย...
คุณหมอนัดมาติดตามผลการรักษาตัวอีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากได้กลับมาพักฟื้นที่ บ้านแล้ว...ด้วยคำอธิบายที่กระชับ..สั้น..ว่า "เนื้อสมองบริเวณส่วนที่หลอดเลือดแตกนั้นคงได้รับความเสียหายจนใช้การไม่ได้ แล้ว" แต่คำพูดนี้กระทบจิตใจผมอย่างรุนแรงเพราะผมคิดต่อได้เพียงว่า "จากนี้ผมจะต้องอยู่ในสภาพอย่างนี้ไปตลอดชีวิตหรือนี้" จิตใจผมเริ่มหดหู่คิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลจนกระทั่ง ถึงบ้าน...โรคซีมเศร้าเริ่มแทรกแซงแทรกซ้อนเข้ามาแล้ว
แต่โชคยังเข้าข้างผมอยู่เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นผมเจอในนัดพบแพทย์อีกใบหนึ่ง ที่ได้ระบุวันนัดไว้อีกสามสัปดาห์เป็นแพทย์แผนกเวชศาสตร์ฟิ้นฟู...จึงได้ขอ ให้ภรรยาสุดที่รักโทรไปเลื่อนนัดพบแพทย์ให้เร็วขึ้น และก็โชคดีที่เพียงสองวันก็ได้เข้าพบแพทย์แผนกนี้แล้ว ขอย้ำว่า..."เป็นความโชคดีของผมอย่างที่สุด" เพราะคุณหมอได้อธิบายเพิ่มเติมจากคำพูดของหมอที่รักษาทางด้านสมองว่า "แต่เราสามารถที่จะฟื้นฟูให้สมองส่วนอื่นสามารถมาสั่งการทำงานแทนเนื้อสมอง ส่วนที่ได้รับความเสียหาย โดยที่คนไข้จะต้องอดทนและพยายามถึงที่สุดที่จะฟื้นฟูร่างกายส่วนที่เสียหาย ให้กลับมาได้มากที่สุดโดยเร็ว เพราะเวลาที่เนินนานออกไปเท่าไรการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาก็โอกาสจะน้อยลงไป เช่นกัน
ว่าแล้วคุณหมอก็สั่งและย้ำให้เริ่มใช้มือขวาตั้งแต่วันนี้โดยให้ทำทุกอย่าง ที่เคยทำ...ถือช้อนกินข้าว...ยกแก้วกินน้ำ...ใส่เสื้อผ้าติดกระดุม...จับ ปากกาเขียนหนังสือ...เป็นต้น เพราะหากไม่เริ่มฝึกใช้งานร่างกายซีกขวาทั้งหมดสมองก็จะเข้าใจว่าร่างกาย ส่วนนี้ใช้งานไม่ได้แล้ว..คุณหมอยังแนะนำให้ทำการฝึกหยิบจับสิ่งของเล็กๆ เพื่อฝึกนิ้วให้ได้ครบทุกนิ้ว และก็ฝึกเดินเช้าเย็นเริ่มต้นอย่างน้อยสิบนาทีจนกระทั่งได้นานถึงครึ่ง ชั่วโมง...สุดท้ายก็ต้องออกกายบริหารตามที่ได้รับการฝึกมาแล้ว ว่าแล้วผมก็นำมาประยุกต์ก้บการฟื้นฟูจิตใจด้วยการปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป ด้วยตามตารางเวลาการฟื้นฟูร่างกายดังนี้
เช้ามืด...สวดมนต์ทำสมาธิภาวนา
ฟ้าเริ่มสว่าง...ออกฝึกเดิน ฝึกวิ่ง เสร็จแล้วก็ทำกิจวัตรประจำวัน
หลังอาหารเช้า...ทำกายภาพบำบัดหลังจากสวดมนต์ทำสมาธิภาวนา
ก่อนอาหารเที่ยง...ใช้เวลาที่ว่างฝึกการใช้นิ้วมือ เช่น การหยิบก้อนหินเล็กๆ, การฝึกเขียน เป็นต้น
บ่าย...ทำกายภาพบำบัดและพักผ่อน
เย็น...ทำงานที่โรงเรือนให้อาหารสัตว์
หลังอาหารเย็น...สวดมนต์ทำสมาธิภาวนาพร้อมการทำกายภาพบำบัด
หัวค่ำ...ฝึกมือในการใช้คอมพิวเตอร์โดยการทำเว็บบล็อก Stroke31jan13.blogspot.com
ก่อนนอน...สวดมนต์ก่อนนอน
แล้วความสำเร็จก็ปรากฏให้เห็นภายใน 33วันเท่านั้นที่ผมสามารถเดินได้ดีขึ้นมากแล้ว...เริ่มวิ่งเยาะๆ ได้บ้างแล้ว...สามารถใช้มือขวาในกิจวัตรประจำวันได้แล้ว...มีแรงพอที่จะเปิด ขวดน้ำดื่มได้...ยกของหนักได้บ้างแล้ว...สามารถพูดได้ดีขึ้น...ส่วนอาการชา ตามผิวหนังก็ค่อยๆ ดีขึ้น...และวันนี้ก็ได้เริ่มต้นทำงานที่ไร่เต็มเวลาแล้ว
นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่ผู้ป่วยโรคนี้จะต้องแข่งกับเวลาในการฟื้นฟู ร่างกายเพื่อให้ร่างกลับมาได้เร็วขึ้นเพราะเวลาป่วยที่เนิ่นนานไปก็ยิ่งจะทำ ให้โอกาสที่ร่างกายจะฟื้นคืนกลับมาได้น้อยมากยิ่งขึ้น
ส่วนอาการที่หลงเหลืออยู่ก็คงต้องเก็บไว้เป็นความทรงจำที่จะคอยเตือนเราอยู่ ทุกเสี้ยววินาทีว่า...ต่อไปนี้อย่าประมาท อย่าลืมดูแลร่างกายตนเอง และอย่าลืมที่จะกินยาเลยนะ เพราะถ้าหลอดเลือดในสมองแตกอีกครั้งโอกาสที่จะกลับมาได้แบบนี้ก็จะลดน้อยลง ไป..."ใครจะถูกรางวัลที่หนึ่งติดต่อกันสองครั้งได้บ้างละครับ"
...แม้ว่าจะฝึกฝนให้เกิดมี "สติ" แล้วก็ตามแต่ก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี...
หลังจากที่ตนเองอยู่ในภาวะอัมพฤกษ์ครึ่งซีกด้วยหลอดเลือดในสมองแตก
ถึงแม้ว่าจะมี "สติ" ที่คอยเป็นพลังในการฟื้นฟูร่างกายอย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังหลุดไปในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิด...ว่า ทำไมเราต้องมาเป็นแบบนี้....
...แล้วก็ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม....ทำไม.........
................คิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้จนทำให้จิตใจเริ่มเศร้าหมอง
และ "สติ" ที่ได้เข้ามาช่วยทำให้หลุดพ้นจากห้วงความรู้สึกนึกคิดที่เศร้าหมอง
ในช่วงเวลาปีครึ่งที่ได้ทำฟาร์มรีดนมโดยที่มีผมทำงานอยู่เพียงคนเดียว
ถึงแม้โดยภาพรวมจะมีความสุขและสนุกกับการทำงานก็ตาม
แต่ตอนที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ามากๆ ก็ทำให้จมอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิด
...กูมาทำบ้าอะไรอยู่ว่ะ....แล้วก็ทำไม...ทำไม..ทำไม..ทำไม..ทำไม..ทำไม......
................คิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้จนทำให้จิตใจเริ่มเศร้าหมอง
และ "สติ" ที่ได้เข้ามาช่วยทำให้หลุดพ้นจากห้วงความรู้สึกนึกคิดที่เศร้าหมอง
"ความโชคดี" ไม่ได้มีมาอย่างต่อเนื่อง...สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ต่อภาวะโรคซึมเศร้า
จนต้องหาทางปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผ่านทางโทรศัพท์เพราะไม่สามารถที่จะหยุดงานรีดนมได้
อีกทั้งรู้ตัวดีว่า "เจอแบบหนักมากจนเอาไม่อยู่แล้ว" ถ้าปล่อยไว้ผมคงไม่มีโอกาสมานั่งพูดคุยได้แบบนี้
ตนเองก็รู้สึกสลดใจเมื่ออีกไม่กี่วันก็เจอกับข่าวโรบิน วิลเลี่ยมส์เสียชีวิตจากภาวะโรคซีมเศร้า
ผมหวังว่า...สามบทความที่ผมตั้งใจเขียนขึ้นมาในช่วงวาระครบสองปีจากเส้นเลือดในสมองแตก
ให้กับเพื่อนๆ ที่ยังต้องทำงานหนัก...ยังแบกความเคร่งเครียด...ยังวุ่นวายอยู่ในห้วงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด
เริ่มตระหนักและดูแลเอาใจใส่ในความสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจให้ดีในแต่ละวันนะครับ...
ดังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า....The Primordial Buddhas are saying,
"Not doing wrong action,
Sincerely doing every kind of good,
Naturally clarifies this mind,
This is the Teaching of all the Buddhas."
ถึงแม้โดยภาพรวมจะมีความสุขและสนุกกับการทำงานก็ตาม
แต่ตอนที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ามากๆ ก็ทำให้จมอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิด
...กูมาทำบ้าอะไรอยู่ว่ะ....แล้วก็ทำไม...ทำไม..ทำไม..ทำไม..ทำไม..ทำไม......
................คิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้จนทำให้จิตใจเริ่มเศร้าหมอง
และ "สติ" ที่ได้เข้ามาช่วยทำให้หลุดพ้นจากห้วงความรู้สึกนึกคิดที่เศร้าหมอง
"ความโชคดี" ไม่ได้มีมาอย่างต่อเนื่อง...สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ต่อภาวะโรคซึมเศร้า
จนต้องหาทางปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผ่านทางโทรศัพท์เพราะไม่สามารถที่จะหยุดงานรีดนมได้
อีกทั้งรู้ตัวดีว่า "เจอแบบหนักมากจนเอาไม่อยู่แล้ว" ถ้าปล่อยไว้ผมคงไม่มีโอกาสมานั่งพูดคุยได้แบบนี้
ตนเองก็รู้สึกสลดใจเมื่ออีกไม่กี่วันก็เจอกับข่าวโรบิน วิลเลี่ยมส์เสียชีวิตจากภาวะโรคซีมเศร้า
ผมหวังว่า...สามบทความที่ผมตั้งใจเขียนขึ้นมาในช่วงวาระครบสองปีจากเส้นเลือดในสมองแตก
ให้กับเพื่อนๆ ที่ยังต้องทำงานหนัก...ยังแบกความเคร่งเครียด...ยังวุ่นวายอยู่ในห้วงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด
เริ่มตระหนักและดูแลเอาใจใส่ในความสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจให้ดีในแต่ละวันนะครับ...
ดังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า....The Primordial Buddhas are saying,
"Not doing wrong action,
Sincerely doing every kind of good,
Naturally clarifies this mind,
This is the Teaching of all the Buddhas."