วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

2ปี กับร่างกายซีกขวาชาและอ่อนแรงจากเส้นเลือดในสมองแตก


...ลดโอกาสเสี่ยงเส้นเลือดในสมองแตกจากความดันเลือดสูง...
ถึงผมจะไม่ใช่หมอ...ไม่ได้มีความรู้ทางด้านนี้...
แต่จากที่ผมเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งซีกเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก
มีสาเหตุมาจากภาวะความดันเลือดสูงมาเป็นระยะเวลา 2ปีแล้ว
หลังจากฟื้นฟูร่างกายจนสามารถกลับมาเดินได้ทำงานได้แล้ว
แต่อาการชาตามผิวหนังของร่างกายซีกขวาก็ยังคงอยู่...
ความแข็งแรงแข็งแกร่งของแขนและขาก็ยังคงมีปัญหาอยู่...
ปัญหาทางด้านสมองเกี่ยวคิดได้ช้า...จำไม่ค่อยได้...ก็ยังคงอยู่...

ก็เลยอยากจะแนะนำเพื่อนๆ ว่า....
1. ผมอยู่ในภาวะความดันเลือดสูง...โดยภาวะร่างกายปกติก็จะวัดค่าความดันเลือด อยู่ที่ 160....และเมื่อใดที่เราอยู่ในภาวะความเคร่งเครียดแล้ว...ความดันเลือดอาจจะ สูงถึง 180 ได้...และเมื่อใดที่ความดันเลือดสูงเกิน 190 ขึ้นไปแล้วก็จะมีโอกาสที่จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกได้ครับ...ดังเช่นที่ผม เจอมาครับ
2. อย่าเชื่อว่า...การได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ หรือ การควบคุมอาหารจะสามารถรอดพ้นจากอาการความดันเลือดสูงได้...สิ่งเหล่านี้จะ ช่วยให้ความดันเลือดของเราอยู่ในภาวะปกติโดยไม่ต้องกินยาควบคุมความ ดัน...หากแต่เมื่อใดที่สภาวะร่างกายหรือจิตใจเราอยู่ในสภาวะที่ผิดปกติ... ธรรมชาติที่สงบหรืออาหารที่ดีก็ช่วยควบคุมความดันเลือดไม่ได้อย่างแน่นอน ครับ
3. เมื่อรู้ตัวแล้วว่าตนเองอยู่ในภาวะความดันเลือดสูง...ก็ควรจะกินยาควบคุม ความดันเลือดตามที่หมอสั่งและให้มียาควบคุมนี้ติดตัวไว้...เพราะหากเมื่อใด ที่ร่างกายและจิตใจเรามีอาการเคร่งเครียดผิดปกติก็สามารถใช้ยาควบคุมความดัน เลือดในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อลดความเสี่ยงที่ความดันเลือดจะสูงขึ้นจนทำให้ เส้นเลือดในสมองแตกได้
สุดท้ายหากเพื่อนๆ ท่านใดที่โชคร้ายที่เจอเหมือนผมแล้ว....ก็ขอแนะนำเพียงข้อเดียวและทำให้ได้คือ....มีสติ...
ไม่ต้องแตกตื่นตกใจ
ไม่ต้องกลัวไม่ต้องร้องไห้
ไม่ต้องพะวงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายเราในตอนนั้น
เช้าตรู่วันนั้นเมื่อผมรู้ตัวว่า...ร่างกายผิดปกติไปจากเดิมแล้ว
หลังจากนั่งพักอยู่ครู่ใหญ่แล้วลองขยับแขนขวาดู...แต่มันก็ไม่ขยับอย่างที่คิด
ลองขยับขาขวาดูก็เป็นเหมือนกัน...จะลองลุกขึ้นก็ลุกขึ้นไม่ได้แล้ว
แต่ร่างกายซีกซ้ายยังทำงานได้เป็นปกติ.....
จึงค่อยๆ กระดึ้บๆ ไปหาโทรศัพท์มือถือเพื่อโทรขอความช่วยเหลือจากเพื่อนบ้าน
และโทรหาภรรยาสุดที่รักเพื่อบอกถึงสิ่งผิดปกติที่พบเท่านั้น
หลังจากนั้นก็ค่อยๆ คิดจัดการเตรียมความพร้อมของตนเองที่จะไปโรงพยาบาล
เตรียมกระเป๋าตังค์และมือถือให้พร้อม
เก็บหมาสองตัวที่อยู่นอกบ้านเข้ากรงให้เรียบร้อย
เปลี่ยนเสื้อผ้าตัวเองให้ดูเหมาะสมที่จะออกจากบ้าน
นั่งรอ...ดื่มน้ำ...เหมือนกำลังรอรถมารับไปเที่ยวเลยครับ
ทั้งหมดที่ทำมาข้างต้นนี้...ผมต้องกระดึับๆ ไปนะเพราะลุกเดินไม่ได้แล้ว
จากบ้าน...ไปอนามัยเพื่อให้หมอประจำอนามัยดูอาการเบื้องต้น...
จนกระทั่งไปนอนรอที่ห้องฉุกเฉินที่โรงพยาบาลหัวหิน...
ผมก็ยังไม่รู้ว่า...เส้นเลือดในสมองผมแตกแล้วจึงทำให้เป็นแบบนี้
และแล้วภรรยาสุดที่รักก็เดินทางมาถึงโรงพยาบาล
ในขณะที่ผมกำลังนอนรออยู่หน้าห้องX-ray เพื่อรอสแกนสมอง
และเป็นกำลังใจให้ผมแบบสุดๆ แล้วหลังจากผ่านเรื่องร้ายๆ มาเพียงลำพัง
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้อยากจะให้เห็นถึง "สติ" ที่ผมมีในการเผชิญหน้ากับมัน
ผมเชื่อว่า...สติช่วยทำให้ภาวะร่างกายไม่ผิดปกติเลวร้ายย่ำแย่ไปกว่านี้...


...สมดุลการฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจทำให้หายป่วยเร็วขึ้น...
ช่วงเวลาที่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลก็จะเห็นคนป่วยจำนวนมากที่นอนรักษาตัว จากอาการหลอดเลือดในสมองแตก...มีทั้งที่อาการหนักร่างกายขยับไม่ได้เลย หรือแบบแค่ชาและอ่อนแรงเช่นผม...แต่ไม่ว่าอาการทางด้านร่างกายจะสาหัสแค่ไหน ก็ตาม ผมว่าอาการทางด้านจิตใจของผู้ป่วยโรคนี้จะย่ำแย่จิตตกอย่างถึงที่ สุด...เพราะคนที่เคยแข็งแรงเดินได้ทำงานได้เพียงชั่วข้ามคืนต้องกลายมาเป็น คนที่เดินไม่ได้...ใช้มือก็ไม่ได้...พูดจาก็ไม่ชัด....ถ้าขืนเป็นอยู่อย่าง นี้..."ตายเสียดีกว่าอยู่"...ใช่ครับเพราะส่วนใหญ่จะเกิดอาการโรคซึมเศร้า แทรกซ้อนเข้ามาจนถึงภาวะที่จะคิดฆ่าตัวตาย...
คุณหมอนัดมาติดตามผลการรักษาตัวอีกหนึ่งอาทิตย์หลังจากได้กลับมาพักฟื้นที่ บ้านแล้ว...ด้วยคำอธิบายที่กระชับ..สั้น..ว่า "เนื้อสมองบริเวณส่วนที่หลอดเลือดแตกนั้นคงได้รับความเสียหายจนใช้การไม่ได้ แล้ว" แต่คำพูดนี้กระทบจิตใจผมอย่างรุนแรงเพราะผมคิดต่อได้เพียงว่า "จากนี้ผมจะต้องอยู่ในสภาพอย่างนี้ไปตลอดชีวิตหรือนี้" จิตใจผมเริ่มหดหู่คิดวนเวียนอยู่อย่างนี้ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาลจนกระทั่ง ถึงบ้าน...โรคซีมเศร้าเริ่มแทรกแซงแทรกซ้อนเข้ามาแล้ว
แต่โชคยังเข้าข้างผมอยู่เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นผมเจอในนัดพบแพทย์อีกใบหนึ่ง ที่ได้ระบุวันนัดไว้อีกสามสัปดาห์เป็นแพทย์แผนกเวชศาสตร์ฟิ้นฟู...จึงได้ขอ ให้ภรรยาสุดที่รักโทรไปเลื่อนนัดพบแพทย์ให้เร็วขึ้น และก็โชคดีที่เพียงสองวันก็ได้เข้าพบแพทย์แผนกนี้แล้ว ขอย้ำว่า..."เป็นความโชคดีของผมอย่างที่สุด" เพราะคุณหมอได้อธิบายเพิ่มเติมจากคำพูดของหมอที่รักษาทางด้านสมองว่า "แต่เราสามารถที่จะฟื้นฟูให้สมองส่วนอื่นสามารถมาสั่งการทำงานแทนเนื้อสมอง ส่วนที่ได้รับความเสียหาย โดยที่คนไข้จะต้องอดทนและพยายามถึงที่สุดที่จะฟื้นฟูร่างกายส่วนที่เสียหาย ให้กลับมาได้มากที่สุดโดยเร็ว เพราะเวลาที่เนินนานออกไปเท่าไรการฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาก็โอกาสจะน้อยลงไป เช่นกัน
ว่าแล้วคุณหมอก็สั่งและย้ำให้เริ่มใช้มือขวาตั้งแต่วันนี้โดยให้ทำทุกอย่าง ที่เคยทำ...ถือช้อนกินข้าว...ยกแก้วกินน้ำ...ใส่เสื้อผ้าติดกระดุม...จับ ปากกาเขียนหนังสือ...เป็นต้น เพราะหากไม่เริ่มฝึกใช้งานร่างกายซีกขวาทั้งหมดสมองก็จะเข้าใจว่าร่างกาย ส่วนนี้ใช้งานไม่ได้แล้ว..คุณหมอยังแนะนำให้ทำการฝึกหยิบจับสิ่งของเล็กๆ เพื่อฝึกนิ้วให้ได้ครบทุกนิ้ว และก็ฝึกเดินเช้าเย็นเริ่มต้นอย่างน้อยสิบนาทีจนกระทั่งได้นานถึงครึ่ง ชั่วโมง...สุดท้ายก็ต้องออกกายบริหารตามที่ได้รับการฝึกมาแล้ว ว่าแล้วผมก็นำมาประยุกต์ก้บการฟื้นฟูจิตใจด้วยการปฏิบัติธรรมควบคู่กันไป ด้วยตามตารางเวลาการฟื้นฟูร่างกายดังนี้
เช้ามืด...สวดมนต์ทำสมาธิภาวนา
ฟ้าเริ่มสว่าง...ออกฝึกเดิน ฝึกวิ่ง เสร็จแล้วก็ทำกิจวัตรประจำวัน
หลังอาหารเช้า...ทำกายภาพบำบัดหลังจากสวดมนต์ทำสมาธิภาวนา
ก่อนอาหารเที่ยง...ใช้เวลาที่ว่างฝึกการใช้นิ้วมือ เช่น การหยิบก้อนหินเล็กๆ, การฝึกเขียน เป็นต้น
บ่าย...ทำกายภาพบำบัดและพักผ่อน
เย็น...ทำงานที่โรงเรือนให้อาหารสัตว์
หลังอาหารเย็น...สวดมนต์ทำสมาธิภาวนาพร้อมการทำกายภาพบำบัด
หัวค่ำ...ฝึกมือในการใช้คอมพิวเตอร์โดยการทำเว็บบล็อก Stroke31jan13.blogspot.com
ก่อนนอน...สวดมนต์ก่อนนอน
แล้วความสำเร็จก็ปรากฏให้เห็นภายใน 33วันเท่านั้นที่ผมสามารถเดินได้ดีขึ้นมากแล้ว...เริ่มวิ่งเยาะๆ ได้บ้างแล้ว...สามารถใช้มือขวาในกิจวัตรประจำวันได้แล้ว...มีแรงพอที่จะเปิด ขวดน้ำดื่มได้...ยกของหนักได้บ้างแล้ว...สามารถพูดได้ดีขึ้น...ส่วนอาการชา ตามผิวหนังก็ค่อยๆ ดีขึ้น...และวันนี้ก็ได้เริ่มต้นทำงานที่ไร่เต็มเวลาแล้ว
นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่ผู้ป่วยโรคนี้จะต้องแข่งกับเวลาในการฟื้นฟู ร่างกายเพื่อให้ร่างกลับมาได้เร็วขึ้นเพราะเวลาป่วยที่เนิ่นนานไปก็ยิ่งจะทำ ให้โอกาสที่ร่างกายจะฟื้นคืนกลับมาได้น้อยมากยิ่งขึ้น
ส่วนอาการที่หลงเหลืออยู่ก็คงต้องเก็บไว้เป็นความทรงจำที่จะคอยเตือนเราอยู่ ทุกเสี้ยววินาทีว่า...ต่อไปนี้อย่าประมาท อย่าลืมดูแลร่างกายตนเอง และอย่าลืมที่จะกินยาเลยนะ เพราะถ้าหลอดเลือดในสมองแตกอีกครั้งโอกาสที่จะกลับมาได้แบบนี้ก็จะลดน้อยลง ไป..."ใครจะถูกรางวัลที่หนึ่งติดต่อกันสองครั้งได้บ้างละครับ"

 
...แม้ว่าจะฝึกฝนให้เกิดมี "สติ" แล้วก็ตามแต่ก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี...
หลังจากที่ตนเองอยู่ในภาวะอัมพฤกษ์ครึ่งซีกด้วยหลอดเลือดในสมองแตก
ถึงแม้ว่าจะมี "สติ" ที่คอยเป็นพลังในการฟื้นฟูร่างกายอย่างต่อเนื่องแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังหลุดไปในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิด...ว่า ทำไมเราต้องมาเป็นแบบนี้....
...แล้วก็ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม...ทำไม....ทำไม.........
................คิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้จนทำให้จิตใจเริ่มเศร้าหมอง
และ "สติ" ที่ได้เข้ามาช่วยทำให้หลุดพ้นจากห้วงความรู้สึกนึกคิดที่เศร้าหมอง

ในช่วงเวลาปีครึ่งที่ได้ทำฟาร์มรีดนมโดยที่มีผมทำงานอยู่เพียงคนเดียว
ถึงแม้โดยภาพรวมจะมีความสุขและสนุกกับการทำงานก็ตาม
แต่ตอนที่เหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ามากๆ ก็ทำให้จมอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิด
...กูมาทำบ้าอะไรอยู่ว่ะ....แล้วก็ทำไม...ทำไม..ทำไม..ทำไม..ทำไม..ทำไม......
................คิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนี้จนทำให้จิตใจเริ่มเศร้าหมอง
และ "สติ" ที่ได้เข้ามาช่วยทำให้หลุดพ้นจากห้วงความรู้สึกนึกคิดที่เศร้าหมอง
"ความโชคดี" ไม่ได้มีมาอย่างต่อเนื่อง...สุดท้ายผมก็พ่ายแพ้ต่อภาวะโรคซึมเศร้า
จนต้องหาทางปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผ่านทางโทรศัพท์เพราะไม่สามารถที่จะหยุดงานรีดนมได้
อีกทั้งรู้ตัวดีว่า "เจอแบบหนักมากจนเอาไม่อยู่แล้ว" ถ้าปล่อยไว้ผมคงไม่มีโอกาสมานั่งพูดคุยได้แบบนี้
ตนเองก็รู้สึกสลดใจเมื่ออีกไม่กี่วันก็เจอกับข่าวโรบิน วิลเลี่ยมส์เสียชีวิตจากภาวะโรคซีมเศร้า
ผมหวังว่า...สามบทความที่ผมตั้งใจเขียนขึ้นมาในช่วงวาระครบสองปีจากเส้นเลือดในสมองแตก
ให้กับเพื่อนๆ ที่ยังต้องทำงานหนัก...ยังแบกความเคร่งเครียด...ยังวุ่นวายอยู่ในห้วงอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด
เริ่มตระหนักและดูแลเอาใจใส่ในความสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจให้ดีในแต่ละวันนะครับ...
ดังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า....The Primordial Buddhas are saying,
"Not doing wrong action,
Sincerely doing every kind of good,
Naturally clarifies this mind,
This is the Teaching of all the Buddhas."

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น