วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

อีกหนึ่งบททดสอบสภาพร่างกายและจิตใจ

เมื่อวานเย็นถือได้ว่า...ผมได้ผ่านบททดสอบสภาพร่างกายและจิตใจ...เพราะได้ย้ายกองอาหารสัตว์จำนวน 50 กระสอบที่มีน้ำหนักรวมถึง 1500 กิโลกรัมจากหน้าประตูทางเข้าฟาร์มไปเก็บไว้ที่หน้าโรงเรือนเนื่องจากรถบรรทุกที่มาส่งอาหารคันใหญ่เกินกว่าจะผ่านเข้าประตูไร่ได้จึงจำเป็นต้องวางกองอาหารไว้บริเวณหน้าประตูก่อน

ตอนเย็นๆ หลังจากเสร็จงานให้อาหารเหล่าบรรดาฝูงโคเรียบร้อยแล้ว จึงชวนน้องนิดหัดขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างเพื่อทำการขนย้ายอาหารโดยจะขนได้ครั้งละ 5 กระสอบรวมน้ำหนัก 150 กิโลกรัมยังไม่รวมน้ำหนักคนขับขี่และคนงานประจำไร่อีกไม่น้อยกว่า 120 กิโลกรัม ทำให้ต้องทำการขนย้ายกองอาหารนี้ถึงสิบเที่ยวทีเดียว...ในระหว่างที่กำลังขนย้ายก็ต้องเติมลมยางรถพ่วงข้างเพราะคงจะแบกรับน้ำหนักมากจนเกินไป

แต่สำหรับผมแล้ว "ผมไม่ได้คิดว่า...ผมกำลังทำงานหนักในการขนย้ายกระสอบอาหาร แต่ผมกำลังเดินเล่นยามเย็นๆ เท่านั้น" จึงทำให้ผมสามารถค่อยๆ ยกกระสอบอาหารกระสอบแล้วกระสอบเล่าไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าร่างกายจะออกอาการอ่อนแรงให้เห็นบ้าง...จนน้องนิดเอยปากว่าหยุดพักก่อนแล้วพรุ่งนี้ขนย้ายที่เหลือ แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นและพิจารณาแล้วว่า...ร่างกายนี้ยังไหวอยู่ ยังมีกำลังพอเพียงที่จะยกกระสอบอาหารได้อยู่ จึงควรที่จะทำต่อให้แล้วเสร็จ...แล้วในที่สุดก็ทำการย้ายกองกระสอบอาหารทั้งหมดได้เป็นที่เรียบร้อย

จึงเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสภาพร่างกายและจิตใจที่ผมสอบผ่านมาได้  

ปล. เหตุที่ทำให้เหนื่อยก็คงจะมีเหตุมาจากการลุ้นจนเสียวในการหัดขับขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างเป็นครั้งแรกของน้องนิดภรรยาสุดที่รักแต่เธอก็สามารถฝึกฝนจนสามารถขับขี่ได้เก่งทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

...นับจากนี้จะไม่มีคำว่า "ท้อแท้"...

หลังจากได้เข้าพบหมอแผนกศัลยกรรมประสาทเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็ได้แจ้งคุณหมอให้ทราบถึงอาการชาตามผิวหนังที่ยังคงอยู่...ซึ่งคุณหมอก็ได้ตอบว่า "อาการชาตามผิวหนังนี้คงจะไม่หายไปแล้วละครับ คงจะอยู่เช่นนี้ตลอดไป"

ผมเองก็ไม่ได้ผิดคาดต่อคอมเม้นท์ของคุณหมอเท่าไรนักแต่ก็ไม่คิดว่าคุณหมอจะยืนยันอย่างรวดเร็วเกินไปเท่านั้นเอง ก็ด้วยเพราะคุณหมอจากแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟูได้เคยบอกไว้แล้วว่า "อาการชาตามผิวหนังนี้จะหายช้าที่สุด และอาจจะมีอาการหลงเหลืออยู่บ้างบางส่วนแต่ไม่ทั้งหมด"

สำหรับผมเองก็ไม่ได้รู้สึก "ท้อแท้" หรือ "หมดกำลังใจ" ต่อการยืนยันอย่างรวดเร็วของคุณหมอแผนกศัลยกรรมประสาทแต่อย่างใด ด้วยเพราะวันนี้ผมสามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาใช้ชีวิตได้แล้วไม่ว่าจะเป็นการเดิน การวิ่ง การใช้มือทำงานต่างๆ เรียกได้ว่า "ผมสามารถใช้ชีวิตประจำวันเพื่อการดำรงชีพได้แล้ว" เพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว มีความสุขแล้วครับ

วันพฤหัสบดีที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

92 วันกับชีวิตภายใต้สภาวะร่างกายซีกขวาชาและอ่อนแรง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ 92 วันแล้วที่ผมได้ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้สภาวะร่างกายซีกขวาชาและอ่อนแรงจากหลอดเลือดในสมองแตก แต่เป็น 92 วันที่ผมต้องเผชิญอะไรมากมายทั้งสภาวะโรคซึมเศร้า, ความเครียดที่ร่างกายซีกขวาใช้การไม่ได้, การพยายามลุกขึ้นเดินการใช้มือขวาจับช้อนกินข้าว, การเรียนรู้หาข้อมูลของโรคนี้, ความพยายามออกกำลังกายเพื่อฟี้นฟูร่างกายให้กลับคืนมา แล้วภายในระยะเวลาเพียงสองเดือนที่ร่างกายผมกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้ว

จนถึงวันนี้ที่ร่างกายผมยังไม่กลับมาเป็นปกติทั้งหมดก็ตาม...แต่ผมก็เริ่มใช้ชีวิตได้ตามปกติมากยิ่งขึ้น...จนสามารถที่จะอยู่คนเดียวได้บ้างแล้ว ถึงแม้ว่ายังคงมีอาการที่ต้องรอการฟื้นฟูและใช้ระยะเวลานานกว่าจะหาย หรือท้ายที่สุดอาการเหล่านั้นอาจจะหลงเหลืออยู่ไปตลอดชีวิตนี้ก็เป็นไปได้...นี่ก็ความเห็นของคุณหมอแผนกเวชศาสตร์ฟื้นฟู...

...อาการที่ยังคงหลงเหลืออยู่...
อาการชาตามผิวหนัง...ถีงแม้ว่าอาการชาจะค่อยๆ หายไปบ้าง แต่ก็ยังหลงเหลืออยู่มาก วันก่อนใช้มือไปจับถาดขนมหม้อแกงซึ่งปกติจะเป็นถาดเย็นแล้ว...แต่บังเอิญว่าถาดนี้ยังร้อนอยู่พอนิ้วมือไปโดนก็รู้สึก "เจ็บจี๊ดๆ" ที่นิ้ว แทนที่จะรู้สึกว่า "ร้อน" ทำให้ต้องระมัดระวังมากยิ่งขึ้นเพื่อไม่ให้ร่างกายด้านขวาไปโดนของร้อนๆ หรือโดนไฟ หรืออะไรก็ตามที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย

อาการพูดไม่ชัด...ก็ยังต้องพยายามฝึกพูดต่อไป แต่ก็ต้องระวังไม่ให้พูดมากจนเกินไป

อาการความจำ...ก็ยังต้องค่อยๆ ฟื้นฟูให้สมองมีพื้นที่ในการจดจำต่อไป

ผมก็เชื่อว่า "ผมสามารถใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับร่างกายที่เป็นอยู่ได้อย่างมีความสุข เพราะผมยังสามารถใช้ร่างกายทำงานเพื่อดำรงชีพได้แล้ว แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ"