วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

...เปรียบเทียบพัฒนาการการฝึกเขียน...

ระหว่างที่ผมได้เข้ารับการรักษาแพทย์แผนไทยที่โรงพยาบาลท่าโรงช้าง ซึ่งผมได้ใช้เวลาว่างในการปฏิบัติธรรมพร้อมการทำกายภาพบำบัดตามที่ได้เคยทำมา รวมถึงการฝึกเขียนด้วย โดยผมได้รบกวนคุณพยาบาลขอกระดาษเสียหน้าเดียวและขอยืมปากกามาหัดฝึกการเขียน 


วันนี้ได้รื้อของก็เจอกระดาษที่ฝึกเขียนแผ่นนี้...ก็เลยบันทึกภาพไว้ก่อนที่จะทิ้งไป...และได้นำมาเปรียบเทียบถึงพัฒนาการของการฝึกเขียน...จะเห็นถึงพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพีงแค่แปดวันก็เห็นถึงความแตกต่าง เช่น เขียนตัวหนังสือได้เล็กลง เขียนได้ตรงโดยไม่มีเส้น เป็นต้น

ไม่ใช่ว่าเพราะผมเก่งที่ทได้หรอกนะครับ แต่ผมเชื่อว่าน่าจะเกิดจากการเริ่มต้นการทำการฟื้นฟูที่ถูกต้องและเหมาะสมทั้งกายและใจ...จากนั้นทุกๆ อย่างก็เข้าสู่กระบวนการพัฒนาการที่ควรจะเป็นนั่นเอง 

ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่อยู่ในภาวะเส้นเลือดในสมองแตกเช่นผมว่า...เราสามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาได้...ขอเพียงให้มีความเชื่อมั่นและเริ่มต้นทำกายภาพบำบัดทันทีครับ   

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

...50 วันผ่านไปอย่างรวดเร็ว พร้อมพัฒนาการของร่างกายที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน

...เรามักจะได้ยินคำพูดที่ว่า "เวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว" แต่สำหรับผมที่เวลานี้มีร่างกายสุขครึ่งหนึ่ง ทุกข์ครึ่งหนึ่ง...แต่เวลาก็โบยบินเช่นเดียวกัน...นี่ก็ผ่านไปแล้ว 50 วันเมื่อนับจากวันแรกที่ร่างกายซีกขวาชาและไม่มีแรงเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก

แต่ทุกๆ วินาทีที่ผ่านไปนั้นผมมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูร่างกาย ีกำลังใจที่จะออกกำลังกาย มีความสุขที่ได้เห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกวัน...หากจะลองนับเวลาที่ทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้นก็รวมๆ แล้วไม่น่าจะเกิ2 วันเท่านั้นเองรวมถึงช่วงที่อยู่ในสภาวะซึมเศร้าด้วยแล้ว

ทุกวันี้ก็เริ่มฝึกวิ่งทุกเช้าแล้ว...แถมวิ่งได้นานต่อเนื่องได้เกือบยี่สิบนาทีอีกด้วย นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกำลังใจที่เห็นถึงพัฒนาการของตัวเอง

อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าดีใจว่าเป็นการฟื้นฟูกลับมาได้ก็คือการเล่นกีตาร์ ซึ่งเป็นการใช้มือขวาได้ดีมาก ลองคลิกฟังได้ที่นี่


..ขอเป็นพลังใจให้ผู้ที่อยู่ในสภาวะเช่นเดียวกับผมครับว่า "เราสามารถฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาได้อย่างรวดเร็ว ขอเพียงอย่าท้อแท้...อย่าสิ้นหวัง...อย่าผิดหวัง...อย่าสูญเสียเวลาไปกับการคิดมากจนทำให้เกิดความวิตกกังวลเลยนะครับ"

วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2556

...อยากลืมกลับจำ อยากจำกลับลืม...

เป็นวลีที่ชื่นชอบมาก เพราะชีวิตของเรา...มักจะเป็นเช่นนี้อยู่บ่อยครั้ง 

...แต่วันนี้ผมเจอผลกระทบเกี่ยวกับความจำของสมอง...หลังจากปรึกษากับคุณหมอก็พบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็น่าจะสืบเนื่องมาจากเส้นเลือดในสมองแตก อาการดังกล่าวก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้และไม่ต้องตกใจกับอาการที่เกิดขึ้น เพราะจะสามารถฟื้นฟูให้กลับมาได้เช่นเดียวกัน คุณหมอก็พูดดูง่ายดายเสียจริงๆ แต่ผมก็ยังวิตกกังวลอยู่ดีเพราะการฟื้นฟูแขนขามันยังเห็นความเคลื่อนไหวและพัฒนาการแล้วอะไรที่อยู่ในสมอง...เราจะเห็นได้อย่างไรกัน

สิ่งที่ผิดปกติที่เห็นได้ชัดเจนคือ...
  • จำอะไรใหม่ๆ ไม่ได้...คุณหมอได้แนะนำให้ร้องเพลงในขณะออกกำลังกาย เพลงเก่าก็นึกไม่ออก...เพลงใหม่ก็ร้องไม่ได้ จำเนื้อเพลงไม่ได้เลย เช่น เพลงเมื่อฝนซา จนบัดนี้ก็ยังจำเนื้อร้องไม่ได้เลย ทั้งการเขียนเนื้อเพลงก็แล้ว ทั้งลูกวิชเล่นกีตาร์แบบช้าๆ ร้องซ้ำๆ ตั้งหลายเที่ยวก็แล้ว
  • คำบางคำ...หายไป...นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก บางครั้งในขณะที่จะพูด หรือพิมพ์ก็จำไม่สามารถพูดต่อได้ ดูเหมือนว่าคำๆ นั้นหายไปจากความทรงจำแล้ว...
อันที่จริงก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีนะที่เราจะได้ลืมบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เราทุกข์ได้บ้าง...แต่ความเป็นจริงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย...ผมรับรู้เมื่อดที่ผมโกรธ จิตสามารถได้ขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ มาประกอบความโกรธได้อย่างทันท่วงที...ทำไมไม่ลมๆ ไปเสียบ้างนะ!!!

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่า...เราออกกำลังกายได้เต็มที่แล้ว???

ที่ผ่านมาก็จะมีคำถามขึ้นในใจในระหว่างที่ทำกายภาพบำบัดว่า...เราออกกำลังกายได้เหมาะสมแล้วหรอยัง? เต็มที่แล้วหรือยัง? หักโหมมากไปหรือปล่าว? หรือน้อยไปหรือปล่าว? จึงได้ไขข้อข้องใจนี้กับคุณหมอเวชศาสตร์ฟื้นฟู

คุณหมอก็ได้แนะนำเทคนิคที่จะตรวจสอบว่าภายในเวลา 30นาทีที่กำหนดให้เราต้องออกกำลังกายนันเป็นไปอย่างเหมาะสมแล้ว...โดยให้ใช้เครื่องวัดความดันวัดก่อนออกกำลังกาย ให้จดค่าอัตราการเต้นของหัวใจไว้ แล้ววัดความดันอีกครั้งทันทีที่หลังออกกำลังกายเสร็จแล้ว...

...ถ้าหากค่าอัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น 20 จากค่าที่วัดก่อนการออกกำลังกาย นั่นหมายถึงว่า การออกกำลังกายนั่นมีความเหมาะสมพอดีกับร่างกายของเราแล้ว...

ผมก็ได้ลองทำตามคำแนะนำ...ในครั้งแรกอัตราที่วัดได้เป็นไปตามที่คุณหมอได้แนะนำไว้...แต่ในครั้งที่สองก็เพิ่มขึ้นเพง 10 เท่านั้นเองก็รู้ว่าการออกกำลังยังไม่เหมาะสมซึ่งด้วยหลักการอันนี้ก็น่าจะเป็นประโยชน์ที่จะเป็นการตรวจสอบว่าเราออกกำลังกายได้เหมาะสมแล้วหรือยัง...แถมยังใช้ประโยชน์จากเครื่องวัดความดันได้อีกทางหนึ่งด้วย   
  

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

และแล้วอาการชาตามผิวหนังก็ก่อเหตุ...

ด้วยอาการชาตามผิวหนังของร่างกายซีกขวาที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับอาการแขนขาอ่อนแรง ซึ่งคุณหมอผู้เชี่ยวชาด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูก็ได้กำชับแล้วว่า...อาการชาตามผิวหนังนี้จะหายช้าที่สุด และอาจจะหลงเหลือทิ้งอาการชาไว้บางส่วนก็เป็นได้...
 
ตรงนี้สิ...ที่น่ากลัวและเป็นที่น่ากังวลที่สุด!!! อะไรหรือครับ? ลองจินตนาการดูนะครับ ว่าหากผิวหนังที่อาการชาอยู่จึงทำให้ไม่สามารถรู้สึกถึงการสัมผัสสิ่งอื่นๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายเช่น ยุงกัด มดกัด โดนน้ำร้อนลวก มีดบาด แผลถลอก เป็นต้น นั่นหมายถึงเราจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น...จนกว่าจะมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเรา...

ละแล้ววันนี้ก็เกิดเหตุการณ์ที่เป็นห่วงนี้จนได้...ก็กำลังผูกเชือกเพื่อรัดท่อนไม้อยู่ทำจนใกล้จะเสร็จก็เหลือบไปเห็นว่ามีผิวหนังถลอกที่นิ้วก้อย...ซึ่งก็ไม่รู้สึกเจ็บแสบที่แผลเลย...แถมก็ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร...เกิดขึ้นได้อย่างใด...

นี่คือความอันตราย ความน่ากลัวและเป็นสิ่งที่น่ากังวลที่สุดในเวลานี้!!!


วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

สมุนไพรบำบัดด้วยแพทย์แผนไทย โรงพยาบาลท่าโรงช้าง

ระหว่างวันที่ 27กพ.-1มีค. ผมได้มีโอกาสเข้ารับการรักษาด้วยสมุนไพรบำบัดของแพทย์แผนไทย ที่โรงพยาบาลท่าโรงช้าง จังหวัดสุราษฏร์ธานี ตามคำแนะนำของพี่สาวที่ทำงานอยู่ในแวดวงพยาบาล ก็ต้องถือว่าเป็นจังหวะและโอกาสที่ดีที่ได้เดินทางสู่บ้านเกิดเข้ารับการรักษาที่นี่เพราะจะได้มีโอกาสพบคุณพ่ออีกครั้งหนึ่ง

ตารางการบำบัดด้วยสมุนไพรในแต่ละวันที่จะต้องทำเช้าคือ การพ่นสมุนไพร, การอบไอน้ำสมุนไพร และการแช่เท้าสมุนไพร ส่วนตอนเย็นก็ต้องพ่นสมุนไพร และอบไอน้ำสมุนไพร 

สำหรับการนวดเพื่อบำบัดโรคพร้อมการประคบสมุนไพร ก็จะต้องเข้าคิวในช่วงกลางวันหรือบ่าย แต่ผมโชคดีที่เจ้าหน้าที่พยาบาลเห็นว่าผมมีเวลามาอยู่รักษาเพียงสามวัน...จึงจัดให้ผมได้รับการนวดเพื่อบำบัดโรคและประคบสมุนไพรติดกันสองวัน

ด้วยภูมิปัญญาขอคนสมัยก่อนที่ได้นำสมุนไพรมาเพื่อการรักษาบำบัดโรคจนเป็นที่ยอมรับ และทางกระทรวงสาธารณสุข็ได้จัดตั้งเป็นโรงพยาบาลแพทย์แผนไทยเพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้ประชาชนได้เข้ารับบริการซึ่งมีความน่าเชื่อถือในด้านตัวยาและมั่นใจในการจัดการให้เป็นไปตามมาตรฐานของโรงพยาบาลอีกด้วย

ขอขอบคุณเจ้าหน้าที่พยาบาลทุกท่านที่ให้การดูแลพยาบาลเอาใจใส่เป็นอย่างดีในระหว่างที่ผมเข้ารับการรักษาครับ    

วันอังคารที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2556

ปัจจัยที่ทำให้การฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้อย่างรวดเร็ว

นับจากวันที่ผมป่วยจากเสนเลือดในสมองแตกจนทำให้ร่างกายซีกขวาชาและอ่อนแรง...ไม่สามารถเดินได้...ไม่สามารถใช้ือขวาได้เลย...ปากเบี้ยวทำให้พูดช้าละไม่ชัด...และผิวหนังมีอาการชาไม่สามารถรับรู้สัมผัสอื่นใดได้เลย... 

นถึงวันนี้ที่ผมสามารถเดินได้ดีขึ้นมากแ้ว...เริ่มวิ่งเยาะๆ ได้บ้างแล้ว...สามารถใช้มือขวาในกิจวัตรประจำวันได้แล้ว...มีแรงพอที่จะเปิดขวดน้ำดื่มได้...ยกของหนักได้บ้างแล้ว...สามารถพูดได้ดีขึ้น...ส่วนอาการชาตามผิวหนังก็ค่อยๆ ดีขึ้น...และวันนี้ก็ได้เริ่มต้นทำงานที่ไร่เต็มเวลาแล้ว

รวมเวลาป่วยและฟื้นฟูร่างกายทั้งสิ้33 วัน (ระหว่าง 31มค-5มีค)...อะไรเป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้การฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้อย่างรวดเว...ก็คงพอจะสรุปได้เป็นข้อๆ ดังนี้

1. ลังใจ...จากภรรยาสุดที่รัก ที่ดูแลเอาใจใส่ตลอดเวลา...จากลูกรัก ที่เป็นกำลังใจ...จากพ่อ ที่เป็นห่วง เอามือมาลูบแขนลูบขาแล้วถามว่า รู้สึกมั๊ย? รวมถึงญาติพี่น้องทุกๆ คน
 
2. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับโรคหลดเลือดสมอง...ได้รับข้อมูลจากคุณหมอลูกศิษย์ของคุณยายและการค้นหาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากเน็ต...ก็สรุปได้ว่า...ภายในสามเดือนแรกจะสามารถฟื้นฟูร่างกายกลับมาได้อย่างรวดเร็ว...และการฟื้นฟูจะช้าลงไปตามระยะเวลที่ผ่านไป

3. ความมีสติจึงไม่ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า...มีโอกาสได้พูดคุยกับหลายๆ คนที่ป่วยเช่นเดียวกับผม ก็พบว่าส่วนใหญ่จะมีอาการภาวะซึมเศร้าอยู่นานหลายสัปดาห์เพราะรับไม่ได้ถึงสภาพที่เกิดขึ้น...ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตายก็มี...แต่ด้วยการฝึกฝนปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอทำให้ตัวผมเกิดมีสติที่เพียงพอที่ไม่อยู่ภายใต้ภาวะซึมเศร้า

4. สุดท้ายก็คือ ความเพียรพยายามฟื้นฟูร่างกายผสมผสานกับการดมนต์ทำสมาธิ...ที่เป็นปัจจัยทำให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว...เพราะผมเชื่อว่าปัญหาอยู่ที่การควบคุมสั่งการของสมอง...ผมจึงเน้นฝึกฝนทำกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูการสั่งการควบคุมร่างกายซีกขวา...
ตารางเวลาที่ยกตัวอย่างมาให้ดูตรงนี้จะทำให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้
เช้ามืด...สวดมนต์ทำสมาธิภาวนา
ฟ้าเริ่มสว่าง...ออกฝึกเดิน ฝึกวิ่ง เสร็จแล้วก็ทำกิจวัตรประจำวัน
ลังอาหารเช้า...ทำกายภาพบำบัดหลังจากสวดมนต์ทำสมาธิภาวนา
ก่อนอาหารเที่ยง...ใช้เวลาที่ว่างฝึกการใช้นิ้วมือ เช่น การหยิบก้อนหินเล็กๆ, การฝึกเขียน เป็นต้น
บ่าย...ทำกายภาพบำบัดและพักผ่อน
เย็น...ทำงานที่โรงเรือนให้อาหารสัตว์
หลังอาหารเย็น...สวดมนต์ทำสมาธิภาวนาพร้อมการทำกายภาพบำบัด
หัวค่ำ...ฝึกมือในการใช้คอมพิวเตอร์โดยการทำเ็บบล็อก Stroke31jan13.blogspot.com
ก่นอน...สวดมนต์ก่อนนอน   
จะเห็นได้ว่า...ผมใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า...มีความเพียรที่จะฝึกฝนปฏิบัติเช่นนี้ทุกวัน จนทำให้ผมสามารถกลับมาทำงานได้เต็มเวลาแล้ว แะผมก็เชื่อว่าเรี่ยวแรงของแขนขาก็จะกลับมาเป็นเช่นเดิมในเวลาอีกไม่นาน